![]() |
จากหนังสือ
“ชี้ทางพ้นทุกข์” รวบรวมโดย อาจารย์มานิต สาครินทร์
|
ปรมัตถธรรม
หมายถึงธรรมที่มีเนื้อความอันประเสริฐ เพราะมีคุณลักษณะแน่นอน ไม่วิปริตผันแปร
เป็นอารมณ์ของปัญญาอันสูงสุดและเป็นประธานในบัญญัติธรรมทั้งปวง
ปรมัตถธรรมมี
๔ อย่าง
๑.
จิต ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ มี ๘๙ หรือ ๑๒๑
๒.
เจตสิก ธรรมชาติที่ประกอบกับจิต มี ๕๒
๓.
รูป ธรรมชาติที่แตกดับ มี ๒๘
๔.
นิพพาน ธรรมชาติที่สงัดจากขันธ์และกิเลส โดยสภาพมี ๑
ปรมัตถธรรม
กับ วิปัสสนาภูมิ
จัดโดยขันธ์
อายตนะ ธาตุ
รูป
๒๘ ปสาทรูป ๕ คือ
จักขุปสาทรูป
คือ ตา เป็น รูปขันธ์
เป็น
จักขวายตนะ
เป็น
จักขุธาตุ
โสตปสาทรูป
คือ หู เป็น รูปขันธ์
เป็น
โสตายตนะ
เป็น
โสตธาตุ
ฆานปสาทรูป
คือ จมูก เป็น รูปขันธ์
เป็น
ฆานายตนะ
เป็น
ฆานาธาตุ
ชิวหาปสาทรูป
คือ ลิ้น เป็น รูปขันธ์
เป็น
ชิวหายตนะ
เป็น
ชิวหาธาตุ
กายปสาทรูป
คือ กาย เป็น รูปขันธ์
เป็น
กายายตนะ
เป็น
กายธาตุ
ปสาทรูป
๕ ทั้งหมด จัดโดยขันธ์ เป็น รูปขันธ์
จัดโดยนามรูป
เป็น รูป
จัดโดยอารมณ์
๖ เป็นธรรมารมณ์
วิสยรูป
๗
วัณณรูป
( สีต่าง ๆ ) คือ รูปารมณ์ เป็น รูปขันธ์
เป็น
รูปายตนะ
เป็น
รูปธาตุ
สัททรูป
( เสียงต่าง ๆ ) คือ สัททารมณ์ เป็น รูปขันธ์
เป็น
สัททายตนะ
เป็น
สัททธาตุ
คันธรูป
( กลิ่นต่าง ๆ ) คือ คันธารมณ์ เป็น รูปขันธ์
เป็น
คันธายตนะ
เป็น
คันธธาตุ
รสรูป
(รสต่าง ๆ ) คือ รสารมณ์ เป็น รูปขันธ์
เป็น
รสายตนะ
เป็น
รสธาตุ
ปฐวี
เตโช วาโย รูป คือ โผฏฐัพพารมณ์ เป็น รูปขันธ์
เป็น
โผฏฐัพพายตนะ
เป็น
โผฏฐัพพธาตุ
วิสยรูป
๗ ทั้งหมดนี้ จัดโดยขันธ์ เป็น รูปขันธ์
จัดโดยนามรูป
เป็น รูป
จัดโดยอารมณ์
๖ เป็น อารมณ์ ๕ ( ปัญจารมณ์ )
สุขุมรูป
๑๖ คือ อาโป ๑,
ภาวรูป ๒, หทยรูป ๑, ชีวิตรูป
๑, อาหารรูป ๑, ปริเฉทรูป ๑, วิญญัติรูป ๑, วิการรูป ๓, ลักขณะรูป
๔
เมื่อจัดโดยขันธ์
ได้แก่ รูปขันธ์
เมื่อจัดโดยอายตนะ
ได้แก่ ธัมมายตนะ
เมื่อจัดโดยธาตุ
ได้แก่ ธัมมธาตุ
ฉะนั้น
รวมรูป ๒๘ ทั้งหมด
ถ้าจัดโดยขันธ์
ได้แก่ รูปขันธ์
ถ้าจัดโดยอายตนะ
ได้แก่ โอฬาริกายตนะ และ ธัมมายตนะ
ถ้าจัดโดยธาตุ
ได้แก่ โอฬาริกธาตุ ๑๐ และ ธัมมธาตุ ๑
จิต
๘๙ หรือ ๑๒๑
ถ้าจัดโดยขันธ์
ได้แก่ วิญญาณขันธ์
ถ้าจัดโดยอายตนะ
ได้แก่ มนายตนะ
ถ้าจัดโดยธาตุ
ได้แก่ วิญญาณธาตุ
วิญญาณธาตุ
๗ ได้แก่
จักขุวิญญาณจิต
๒ ดวง เป็น จักขุวิญญาณธาตุ
โสตวิญญาณจิต
๒ ดวง เป็น โสตวิญญาณธาตุ
ฆานวิญญาณจิต
๒ ดวง เป็น ฆานวิญญาณธาตุ
ชิวหาวิญญาณจิต
๒ ดวง เป็น ชิวหาวิญญาณธาตุ
กายวิญญาณจิต
๒ ดวง เป็น กายวิญญาณธาตุ
ปัญจทวาราวัชชนจิต
๑ สัมปฏิจฉนะจิต ๒ เป็น มโนธาตุ
จิตที่เหลือ
๗๖ หรือ ๑๐๖ เป็น มโนวิญญาณธาตุ
เจตสิก
๕๒ ถ้าจัดโดยขันธ์ ได้แก่ เจตสิกขันธ์ ๓ คือ
เวทนาเจตสิก
เป็น เวทนาขันธ์
สัญญาเจตสิก
เป็น สัญญาขันธ์
เจตสิกที่เหลือ
๕๐ เป็น สังขารขันธ์
ถ้าจัดโดยอายตนะ
เป็น ธัมมายตนะ
ถ้าจัดโดยธาตุ
เป็น ธัมมธาตุ
นิพพาน
ถ้าจัดโดยขันธ์ เป็น ขันธวิมุตติ
ถ้าจัดโดยอายตนะ
เป็น ธัมมายตนะ
ถ้าจัดโดยธาตุ
เป็น ธัมมธาตุ
พระปรมัตถธรรม
ทั้ง ๔ จัดโดยขันธ์
จิต
๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง ทั้งหมด เป็น วิญญาณขันธ์
เจตสิก
๕๒ นั้น เวทนาเจตสิก เป็น เวทนาขันธ์
สัญญาเจตสิก
เป็น สัญญาขันธ์
เจตสิกที่เหลือ
๕๐ เป็น สังขารขันธ์
รูป
๒๘ ทั้งหมด เป็น รูปขันธ์
รวมเป็น
ขันธ์ ๕
ส่วน
นิพพาน เป็น ขันธวิมุตติ
จัดโดย
นามรูป
จิต
ทั้งหมด เจตสิก ทั้งหมด เป็น นาม
รูป
ทั้งหมด เป็น รูป
จัดโดย
อริยสัจ ๔
โลกียจิต
๘๑ เจตสิก ๕๑ (เว้นโลภะ) รูป ๒๘ เป็น ทุกขสัจจะ
โลภเจตสิก
เป็น สมุทยสัจจะ
พระนิพพาน
เป็น นิโรธสัจจะ
มัคคังคะ
( องค์มัค ๘ ) เป็น มัคคสัจจะ
จัดตามลักษณะธรรมที่ปรากฏขึ้น
ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้ถูกต้อง ครั้งหนึ่ง ๆ
อายตนะปรากฏขึ้น
ครั้งละ ๔ อายตนะ คือ
ขณะเห็น
จักขวายตนะ รูปายตนะ มนายตนะ ธัมมายตนะ
ขณะได้ยิน
ได้กลิ่น รู้รส รู้ถูกต้อง ครั้งหนึ่ง ก็มี ๔ อายตนะ คล้ายคลึงกัน
ส่วนใจ
รู้ คิด นึก มีมนายตนะ กับ ธัมมายตนะ เท่านั้น
ธาตุปรากฏขึ้น
ครั้งละ ๖ ธาตุ ขณะ เห็น คือ จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ ธัมมธาตุ มโนธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ
ขณะได้ยิน
ได้กลิ่น รู้รส รู้ถูกต้อง ครั้งหนึ่ง ๆ ก็มี ๖ ธาตุ คล้ายคลึงกัน ส่วนใจ รู้ คิด
นึก มีมโนวิญญาณ กับ ธัมมธาตุ
ขันธ์รากฎขึ้น
ครั้งละ ๕ ขันธ์ ขณะเห็น คือ รูปขันธ์ ๑ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑
วิญญาณขันธ์ ๑
ขณะได้ยิน
ได้กลิ่น รู้รส รู้ถูกต้อง ก็มีขันธ์ ๕ คล้ายคลึงกัน แม้ที่คิด นึก
หรือเป็นอยู่ตามปกติ ก็มีขันธ์ ๕ ประชุมอยู่ทุกขณะจิตเช่นกัน
ธรรมปรากฏขึ้นในการรู้อารมณ์
มี ๒ อย่าง คือ ธรรมชาติที่รู้ ๑ และสิ่งที่ให้รู้ ๑
ถ้าจัดโดยอารมณ์
๖ ที่ให้รู้เรื่องราวได้คราวละ ๒ อารมณ์ คือ รูปารมณ์ กับ ธัมมารมณ์
แม้สัททารมณ์
คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ก็เกิดร่วมกับธัมมารมณ์ ทีละ ๒ อารมณ์ เช่นกัน
ความปรากฏขึ้นของอายตนะ
คงยืน มนายตนะ กับ ธัมมายตนะ
ความปรากฏของธาตุ
คงยืน ธัมมธาตุ มโนธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ
ความปรากฏขึ้นของขันธ์
๕ คงยืน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ความปรากฏขึ้นของนาม
รูป คงยืน รู้ เปลี่ยนแปลงแต่สิ่งที่ให้รู้
ความปรากฏขึ้นของอารมณ์
คงยืน ธัมมารมณ์ เปลี่ยนแปลงแต่อารมณ์ ๕
ผู้ปฏิบัติควรจะรู้สภาพธรรมเหล่านี้
เพราะฐานที่ตั้งของพระศาสนานั้นอยู่ที่สภาพธรรมเหล่านี้ ควรทำความเข้าใจว่า
สภาพธรรมที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกทั้ง ๓ นั้นไม่ได้ปรากฏขึ้นที่ไหน
นอกจากจะมีขึ้นในเวลาตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายถูกต้อง
ใจรู้ธรรมารมณ์ พ้นจากนี้แล้วไม่ได้ไปเป็นอยู่ที่ไหน
ฉะนั้นเพื่อเราจะได้รู้จักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของเราตามที่มีไว้ในพระไตรปิฏกแล้ว
เราจะต้องรู้สภาพธรรมตามที่กล่าวมาแล้วนี้
ตามส่วนที่เราควรจะศึกษาให้รู้ได้ตามสติและปัญญาของเราตามนัยปริยัตินั้น
แต่ถ้าเรารู้เพียงตามปริยัต
เราจะรู้จักแต่ชื่อเท่านั้น ถ้าเราต้องการรู้จักตัวจริง
เราจะต้องรู้ด้วยการปฏิบัติ จึงจะเป็นของแน่ใจ
การปฏิบัติเพื่อจะให้รู้ความจริงเหล่านี้นั้นก็ไม่ใช่จะให้ไปคอยดูธรรมเหล่านี้ที่ไหนนอกจากจะมีสติคอยรู้อยู่ในเวลาที่ตาเห็น
หูได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส ถูกต้อง ใจรู้ทั้งอิริยาบถใหญ่และย่อยด้วยจึงจะรู้
เพราะเป็นที่เกิดของเขา เขาไม่ได้ไปอยู่ที่อื่น
และของจริงเหล่านี้มีตลอดตั้งแต่อเวจีมหานรกจนเนวสัญญานาสัญญายตนะ ตลอดทั้ง ๓๑
ภูมินั้นคงมีแต่จิต เจตสิก รูป คือนามรูปเท่านั้น รวมอยู่ใน สัพเพ สังขารา อนิจจา
หาแก่นสารไม่ได้ใน ๓๑ ภูมินี้ ตกอยู่ในสังสารวัฏฏทุกข์นั้น
จึงขอท่านทั้งหลายอย่าเอาจิตเป็นที่พึ่ง
อย่าเอาเจตสิกเป็นที่พึ่ง อย่าเอารูปเป็นที่พึ่ง
จงเอานิพพานเป็นที่พึ่งจึงจะพ้นจากวัฏฏทุกข์
สพฺเพ
สงฺขารา อนิจฺจา สิ่งที่ปรุงแต่งเกิดขึ้นทั้งหมดเป็นสังขาร
สิ่งที่ดับทั้งหมดเป็นอนิจจัง เพราะสิ้นการปรุงแต่งแล้ว
สพฺเพ
สงฺขารา ทุกขา สิ่งที่ปรุงแต่งเกิดขึ้นทั้งหมดเป็นสังขาร
สิ่งที่ดับทั้งหมดเป็นทุกข์ เพราะทนอยู่ไม่ได้
สพฺเพ
ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายที่เกิดจากการปรุงแต่งและไม่ปรุงแต่งทั้งหมด
สิ่งนั้นต้องดับทั้งหมด เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนบังคับไม่ได้
เมื่อเห็นอย่างหนึ่งก็เป็นอันว่าเห็นทั้งสามตลอดกันทั้งสามลักษณะ
ไม่ใช่ไปคิดค้นหาทีละคราว ถ้าลักษณะนั้นยังรวมกันเป็นหนึ่งไม่ได้
ความรู้นั้นก็ยังมิใช่วิปัสสนาปัญญา เป็นจินตาปัญญา
ต้องรู้กำลังเกิดขึ้นและกำลังสลาย
ถ้ารู้เมื่อเกิดขึ้นแล้วและเมื่อหมดไปแล้วหรือเมื่อยังไม่หมดแต่คิดล่วงหน้าไปว่าแล้วจะหมดอย่างนี้เป็นจินตาปัญญา
ยังไม่ใช่ของจริงเพราะยังลูบไล้อยู่
อุปมาเหมือนเรารู้แล้วว่าไฟนั้นเป็นของร้อน
แต่ถ้าจะคิดว่าเวลานี้เราตกอยู่ในกองไฟ ไฟไหม้ตัวเรา แต่เราก็ไม่ร้อน
เพราะไฟยังไม่มาถูกเราจริง ๆ จิตเราก็ยังไม่ดิ้นที่จะอยากพ้นจากไฟ
ต่อเมื่อใดเราไปประสบไฟเข้าจริง ๆ แม้เพียงธูปดอกเดียวเท่านั้น
จิตเราก็ต้องดิ้นเพื่อให้พ้นไปจากไฟ ฉะนั้นอารมณ์ที่ได้มาจากความคิด
จึงต่างกันกับที่ได้มาจากความรู้ที่ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า ผู้ที่คิดถึงความทุกข์
ในเมื่อความทุกข์พ้นไปแล้ว
และยังไม่มาถึงนั้นจึงต่างกันกับผู้ที่รู้ทุกข์ที่กำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้า
อารมณ์ทั้งสองนั้นจึงไม่เหมือนกัน เช่น เห็นว่าคนพวกอื่น ๆ เขาตายกันก็ต่างกันกับพวกเราตาย
หรือเห็นคนอื่นเขาเจ็บก็ต่างกันกับตัวเราเจ็บและพวกเราเจ็บ
ถ้าคนอื่นเขาเจ็บเราก็ไม่ยอมเสียสละ ถ้าตัวเราเจ็บเราจึงยอมเสียสละ
ถ้ายิ่งเจ็บมากสักหน่อยก็ยิ่งแล้วไปทีเดียว
ถึงจะเอาเงินทองมาให้สักเท่าใดแต่เขาจะให้เจ็บอยู่อย่างนั้นเราก็ไม่ต้องการ
ใจเราก็ไม่อยากได้และไม่ยินดี เพราะอยากจะให้พ้นทุกข์
คือหายเจ็บมากกว่าอยากได้เงิน
ถึงจะเสียจนสิ้นเนื้อประดาตัวก็ยอมแต่ขอให้พ้นจากความเจ็บเถิด
ไม่ว่าสิ่งใดที่จะทำให้เราหายเจ็บแล้วเราต้องยอมเสียสละทั้งหมด
ฉันใดก็ดี
ผู้ที่ยังไม่รู้จักทุกข์ที่กำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้าแล้วก็เปรียบเหมือนผู้นั้นยังไม่เจ็บ
จิตจึงไม่ยอมเสียสละในกามทั้งหลาย
ส่วนพระอริยเจ้าท่านได้กำหนดรู้ทุกข์จนปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าแล้ว
จึงเปรียบเหมือนท่านที่กำลังเจ็บอยู่ ท่านจึงยอมเสียสละในกามทั้งหลายเพื่อนิพพาน
อันเป็นธรรมพ้นจากทุกข์ เพราะขณะที่กำลังกำหนดเห็นทุกข์อยู่
เปรียบเหมือนท่านกำลังเจ็บอยู่
ท่านจึงต้องอุตส่าห์มีความเพียรกินยาที่แสนจะไม่มีรสอร่อย คือต้องอดทนปฏิบัติ
เพราะการปฏิบัตินั้นลำบาก ต้องทวนกระแสของใจที่จะไหลไปกับกิเลส
ถ้าหากว่าเราปล่อยให้ไหลไปกับกิเลสแล้วเราก็รู้สึกสบาย เหมือนกินของแสลงไม่ต้องขืนใจกินเพราะอร่อยกินง่ายดี
เพราะเราต้องการประโยชน์ เพียงแต่จะกินของที่มีรสอร่อยเท่านั้น
ส่วนทุกข์และโทษที่เกิดขึ้นจากการกินของแสลงนั้นเรายังไม่ได้กำหนดรู้
เราจึงยังไม่มีอินทรีย์และฉันทะพอที่จะพยายามกินยาและอดของแสลงเสียบ้าง
พอได้ยินว่าข้อปฏิบัติอะไรจะต้องยากและลำบากสักหน่อยเท่านั้นเราก็เบือนหน้าหนีทีเดียว
ไม่ยอมสมัครใจทำ ศรัทธาและฉันทะที่มีอยู่ก็หมดเลย
เพราะไม่อยากกินยาขมและไม่อยากอดของแสลงด้วย แต่นิพพานก็อยากไปเพราะเขาว่าเป็นสุข
ถามว่าอยากไปพระนิพพานทำไม
ก็บอกว่าอยากพ้นทุกข์ ครั้นถามว่าเราอยู่ทุกวันนี้ เราเห็นอะไรเป็นทุกข์
เราใคร่อยู่ในความสุข และเราเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ
ในโลกนี้ยังทำความสุขให้เราอยู่ออกรอบด้าน คือถ้าเรากินรสที่อร่อย ๆ เราก็เป็นสุข
เราได้ยินเสียงดี ๆ เราก็เป็นสุข เราได้กลิ่นดี ๆ เราก็เป็นสุข เราเห็นรูปที่ดี ๆ
เราก็เป็นสุข เรานอนสบาย ๆ เราก็เป็นสุข โลกยังทำความสุขให้อยู่ทั้งนั้น
แล้วเราจะว่าอยากไปพระนิพพานเพื่อพ้นทุกข์อย่างไร
ผู้ที่จะไปถึงพระนิพพาน
ท่านต้องเห็นโลกเป็นทุกข์รอบด้านความสุขในโลกไม่มีเลย
ท่านจึงได้ยอมเสียสละความสุขที่จะเกิดขึ้นจากการกินสบายและนอนสบาย
เพราะมารู้เสียอย่างแน่นอนแล้วว่าหนทางที่จะดำเนินไปสู่พระนิพพานนั้นไม่ได้อาศัยความสุขในโลก
ต้องอาศัยความทุกข์ในโลกเป็นหนทางพาไปสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวไว้ว่า
การรู้จักทุกข์เป็นหนทางอันหมดจดวิเศษ ท่านจึงได้ยอมเสียสละไปกระทำความเพียร
ถึงแม้จะลำบากจนถึงกระดูกออกนอกเนื้อก็ยอม แต่พวกเราไม่ยอม เพียงแต่ไปกินไม่อร่อย
นอนไม่สบายเข้าสักมื้อหนึ่งเท่านั้นเราก็แทบตายเสียแล้ว
เพราะเราอยากจะหายเจ็บด้วยการกินของแสลง ไม่ยอมให้หายด้วยการกินยา
ลาภ
ยศ สรรเสริญ สุข ๔ อย่างนี้แล เปรียบเหมือนปลิง ๔ ตัว
ที่คอยสูบเลือดของพระศาสนาจากเราให้เสื่อมสิ้นจางไป เราต้องพยายามแกะออก
ถ้าปล่อยทิ้งไว้ให้มันกินมากเข้าพระศาสนาก็จะตายไปจากเรา
เราจะเป็นคนอ่อนเพลียไม่มีกำลัง อวัยวะของพระศาสนาจะไม่แข็งแรงเพราะขาด ศรัทธา
วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
--------------------------------------------------------------
แนะแนวทางปฏิบัติวิปัสสนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น