ข้อปฏิบัติสำหรับผู้เริ่มเข้ากรรมฐาน
พร้อมด้วยเหตุผล
พระธรรมธร
สุนทร แห่งวัดปราสาททอง สุพรรณบุรี - ถาม
พระประสาท
สุปัณฑิโต แห่งสำนักวัดกลาง สุพรรณบุรี – ถาม
อุบาสิกาแนบ
มหานีรานนท์ นายกสมาคมศูนย์ค้นคว้าทางพระพุทธศาสนา - อธิบาย
จากหนังสือ
อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจ นายชื่น ปรีดารัตน์
๒
มีนาคม ๒๕๐๘
ผู้ที่จะเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนหน้าที่จะเข้าปฏิบัตินั้น ควรจะต้องเตรียมอะไรบ้าง
อุบาสิกาแนบ
:- ดิฉันจะได้เรียนอธิบายเป็นข้อ ๆ ไป ข้อแรกที่ถามคือ
ผู้ที่จะเข้าวิปัสสนาจะต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ขอเรียนว่า
ผู้จะเข้าปฏิบัติต้องทำความเข้าใจในภูมิของวิปัสสนาเสียก่อน
แต่เพื่อที่จะย่อให้เข้าใจง่าย ภูมิของวิปัสสนานั้นได้แก่ นามและรูป ๒ อย่าง
ฉะนั้น ก่อนที่จะเข้าวิปัสสนา จึงจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจในเรื่องนามและรูปทั้ง ๒
ระการนี้ให้ดี และให้เข้าใจแน่นอนเสียก่อน การที่ต้องเข้าใจนามรูปนี้
เพราะว่านามรูปนี้จะต้องเป็นวัตถุที่ถูกกระทำ หรือที่ถูกพิจารณาคือถูกเพ่ง
เพื่อให้ปัญญาพบความจริง เพราะนามรูปนี้เป็นตัวกรรมฐานของวิปัสสนา
ฉะนั้นจึงจำเป็นทีเราจะต้องทำความเข้าใจในนามรูปเสียก่อน
ข้อ
๒. เมื่อทำความเข้าใจนามรูปดีแล้ว ก็ลงมือกำหนดนามรูปตามที่ได้ศึกษาไว้
นามรูปที่จะยกขึ้นสู่วิปัสสนาหรือเป็นเครื่องกำหนดของวิปัสสนานั้น
จะต้องเรียนนามรูปที่ปรากฏอยู่ที่ตัว คือต้องให้รู้สภาวะ ที่ปรากฏอยู่ที่ตัวนั้น
จะต้องให้รู้นามรูปนี้ ไม่ใช่รู้ตามหนังสือ ต้องรู้ให้ถูกต้องตามสภาวะที่ปรากฏขึ้น
แล้วจึงลงมือกำหนดนามรูป จะใช้คำว่าดูหรือกำหนดก็ได้เหมือนกัน
ข้อ
๓. ในเวลาที่กำหนดนามรูปนี้ ผู้กำหนดจะต้องทำความรู้สึกเสมอว่า ในขณะนั้น
ตนกำหนดนามอะไร หรือกำหนดรูปอะไร อันนี้เป็นของจำเป็นมาก
สำหรับผู้ทำวิปัสสนาจะทิ้งไม่ได้เลย
ผู้ทำวิปัสสนาจะต้องมีนามรูปเป็นเครื่องรับความรู้สึกอยู่เสมอ ต้องเข้าใจว่า
เขาให้มากำหนดหรือดูนามรูป ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นในขณะที่ทำกรรมฐานนั้น
จะต้องมีนามปละมีรูป เป็นผู้ถูกรู้เสมอ จะเป็นนามอะไร รูปอะไรก็ตาม
จะต้องมีนามรูปเป็นผู้ถูกรู้เสมอ ในขณะที่กำหนดนั้น ถ้าหากขณะใดไม่มีนามรูป
ถึงแม้จะมีสติรู้อยู่ กำหนดอยู่ก็ตาม ก็ให้ทราบว่า ขณะนั้น
จิตนั้นได้พ้นจากทางวิปัสสนาไปแล้ว เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็จะรู้ว่า
เวลานี้จิตได้ตกออกจากทางไป ไม่เข้าสู่ทางวิปัสสนาหรือมหาสติปัฏฐานเสียแล้ว
ต้องยกนามรูปกลับขึ้นสู่ความรู้สึกนั้นใหม่ โปรดจำไว้ว่า
ต้องมีนามรูปเป็นอารมณ์อยู่เสมอ นามรูปนี้จะต้องกำหนดไปตามมหาสติปัฏฐาน
ข้อ
๔. ขณะที่ผู้ปฏิบัติกำหนด หรือดูรูปนามอยู่ ต้องระวังอย่าให้ความรู้สึกต้องการ
หรือความรู้สึกว่า กำหนดเพื่ออะไรเกิดขึ้น เช่นผู้ทำกรรมฐาน ขณะที่กำลังกำหนด
หรือกำลังดูรูปนามอะไรอยู่ก็ตาม เวลาที่กำหนดนั้น ถ้ามีความรู้สึกว่า
กำหนดเพื่ออะไร หรือกำหนดเพื่อจะต้องการอะไร เช่นต้องการเห็นนามรูป
หรือต้องการเห็นนามรูปเกิดดับ หรือต้องการให้วิปัสสนาเกิด อะไรเหล่านี้ ไม่ได้เลย
ผิดทั้งสิ้น
ข้อ
๕. ไม่ให้กำหนดรูปและนามไปพร้อมกัน คือในขณะใด กำหนดรูปอยู่ ก็จะต้องกำหนดเฉพาะรูป
ในขณะใดที่กำหนดหรือดูนามอยู่ ก็จะต้องกำหนดเฉพาะนาม จะกำหนดนามและรูปไปพร้อมกัน
ในขณะเดียวกัน หรือในอารมณ์เดียวกันไม่ได้ อันนี้ต้องระวัง
ข้อ
๖. ต้องระวังอิริยาบถ ผู้ปฏิบัติ จะใช้อิริยาบถย่อย เช่นเคลื่อนไหว เหยียด คู้ ก้ม
เงย เหลียวซ้ายขวา เป็นต้น หรืออิริยาบถใหญ่ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ตาม
ถ้าไม่จำเป็น ไม่ให้ใช้ หรือเปลี่ยนอิริยาบถทั้งย่อยและใหญ่
ข้อ
๗. เมื่อจำเป็นจะต้องเปลี่ยน ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้เหตุนั้นเสียก่อน
ว่าต้องเปลี่ยนเพราะเหตุอะไร เหตุผลนี้สำคัญมาก ขอย้ำอีกครั้งว่า
ถ้าผู้ปฏิบัติจำเป็นจะต้องใช้หรือจะต้องเปลี่ยนอิริยาบถย่อยหรือใหญ่ก็ตาม ให้รู้เหตุที่จำเป็นนั้นเสียก่อน
จึงค่อยเปลี่ยน หรือใช้อิริยาบถนั้น ๆ
ข้อ
๘. อย่าทำอิริยาบถให้ผิดปกติ เช่นอย่างไร เช่นว่า เราเคยนั่งอย่างไร
เราเคยเดินอย่างไร เราเคยนอนอย่างไร เมื่อเวลาเราเข้ากรรมฐาน เราก็นั่งอย่างนั้น
เดินอย่างนั้น หมายความว่า ไม่ต้องเดินให้ผิดปกติ ไม่ต้องนั่งให้ผิดปกติ
ส่วนมากผู้ทำกรรมฐานมักจะเข้าใจว่า จะต้องนั่งขัดสมาธิก่อนแล้วจึงกำหนด
สำหรับวิปัสสนานั้น ไม่จำเป็น จะนั่งอย่างไรก็ได้ เปลี่ยนอิริยาบถตามแต่สะดวก
แล้วแต่ว่าจะนั่งอย่างไร จะทำอย่างไรก็ได้ตามปกติ แต่ว่า ขอให้รู้ในท่านั้น
เท่านั้น จะเป็นท่านั่งหรือท่านอนก็ตาม เวลาที่กำหนดท่านั่งและท่านอนนั้น
จะต้องทำความรู้สึกตัวด้วยสติสัมปชัญญะเสมอ ว่ากำลังดูรูปอะไรอยู่ ถ้ากำหนดท่านั่ง
คือ ดูรูปท่านั่ง ก็ให้รู้สึกว่าดูรูปนั่ง เวลานอนถ้าจะกำหนด คือดูท่าที่นอน
ก็ให้รู้สึกว่า ขณะนี้กำลังดูรูปนอนอยู่ ในทำนองเดียวกัน ในการดูรูปยืน
หรือรูปย่าง (เดิน) ก็ตาม ต้องรู้สึกเสมอว่า ขณะนี้กำลังดูรูปอะไร
หรือว่ากำลังดูนามอะไรอยู่
ข้อ
๙. ไม่ให้ระวังอิริยาบถ หรือ ไม่ให้ประคองอิริยาบถ จนผิดปกติ เช่น บางคน
เวลาจะเดินก็รู้สึกว่าประคองมาก เวลาจะยกมือหรือใช้อิริยาบถอื่น ๆ ก็รู้สึกว่าประคองมากไป
จนผิดปกติ อันนี้จะเป็นการทำเพื่อความต้องการมากไป ปละถ้าทำให้ผิดไป
คือทำเพื่อระวัง ก็จะกลายเป็นว่า ทำเพื่อความต้องการอีกเช่นเดียวกัน
ทีนี้ความต้องการก็จะข้าอาศัยในความรู้สึกนั้น ความต้องการเป็นโลภะ เป็นกิเลส
การปฏิบัตินี้เพื่อละกิเลส จะกลายเป็นเพื่อพอกพูนกิเลสไป
เพราะฉะนั้นความรู้สึกอันนี้จึงใช้ไม่ได้ ข้อนี้ต้องระวัง
ผู้ปฏิบัติจะต้องสังเกตให้ดี
ข้อ
๑๐. เวลาเข้ากรรมฐาน ห้ามไม่ให้ทำอะไรในสิ่งที่ไม่จำเป็น
ไม่จำเป็นแล้วไม่ให้ทำทั้งหมด การพูด ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ให้พูด นั่ง นอน ยืน เดิน
ทั้งนั้น ถ้าไม่มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนอิริยาบถก็ไม่ให้เปลี่ยน
ถ้าจำเป็นจะต้องเปลี่ยน จึงเปลี่ยน
ข้อ
๑๑. ก่อนจะทำ ต้องรู้เหตุจำเป็นก่อน ก่อนจะใช้หรือว่าก่อนจะทำอะไร เช่น กินข้าว
อาบน้ำ ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ หรือว่า นั่ง นอน ยืน เดิน อย่างนี้ ก่อนจะใช้
ก็ต้องรู้ว่า ต้องทำด้วยความจำเป็น ก่อนจะทำก็ให้รู้เสียก่อนว่า
จำเป็นต้องทำเพราะเหตุนั้น ผู้ปฏิบัติที่ไม่ระวัง บางทีนึกอยากจะเดิน
ก็ลุกขึ้นเดินโดยไม่ทราบเหตุผลว่า ที่ลุกขึ้นเดินไปนั้นเพราะอะไร
หรือบางทีก็ตั้งใจว่าจะเดินกรรมฐานอย่างนี้เป็นต้น บางทีผู้ปฏิบัติกำลังเดินอยู่
นึกอยากจะเลิก ก็เลิก อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ อย่าลืมข้อที่ว่าต้องจำเป็น
เวลาจะเลิกเดิน ก็ต้องรู้ว่า จำเป็นจะต้องเลิก จึงค่อยเลิก
แล้วก็จะต้องรู้เหตุของความจำเป็นด้วยว่า ที่ต้องเลิกนั้นเพราะเหตุใด
เช่นเพราะเหตุเมื่อยล้า บังคับให้ต้องเลิกเดินเป็นต้น (ไม่ใช่เราอยากเลิก)
สิ่งเหล่านี้
ถ้าไม่ระวังให้ดี ความต้องการที่จะทำ ย่อมแฝงเข้ามาอาศัยในความรู้สึกได้มาก
ข้อ
๑๒. เวลาจะเดิน จะนั่ง จะนอน จะยืน ไม่ให้มีความรู้สึกว่า จะเดินกรรมฐาน
จะนั่งกรรมฐาน หรือจะนอนกรรมฐาน ไม่ให้รู้สึกว่าทำ ทำเพราะจะทำกรรมฐาน อันนี้ห้าม
มองดูก็ไม่น่าจะเป็นของที่ต้องห้าม แต่ว่ามีเหตุผล จะอธิบายต่อไปข้างหน้า
ข้อ
๑๓. จะกำหนดอีอรยาบถ หรือกำหนดรูปนามอันใดก็ตาม
อย่าทำความรู้สึกในเวลาที่กำหนดนั่นว่า จะกำหนดเพื่อให้จิตสงบ เพื่อให้ได้สมาธิ
หรือตั้งใจว่า จะกำหนดเพื่อให้จิตอยู่ตรงนี้ เพื่อไม่ให้จิตเคลื่อนย้าย
มีความรู้สึกอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ผู้ปฏิบัติต้องไม่ให้ความรู้สึกอย่างนั้น
เข้าไปอาศัยในขณะที่ดูอยู่นั้น ผู้ทำกรรมฐานบางท่านตั้งใจจะดู
แล้วก็มีความมุ่งตั้งใจดูเพื่อให้จิตนั้นสงบ ไม่ให้จิตนั้นไปข้างไหน
ต้องการจะให้จิตนั้นนิ่งอยู่กับที่ เพื่อจะให้เป็นสมาธิ อย่างนี้เป็นต้น
ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้ในขณะที่กำหนด ก็ใช้ไม่ได้ หรือบางทีจะดูเพื่อให้เกิดปัญญา
จะได้เห็นธรรมะ หรือจะดูเพื่อจะให้ธรรมะอันนี้เกิดขึ้น ในระหว่างที่ดูนั้น
หรือว่าดูเพื่อต้องการจะให้ธรรมะที่เราไม่ชอบนั้นหมดไป อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้
ข้อ
๑๔. เวลาทำกรรมฐานนั้น ต้องทำใจให้เหมือนกับดูละคร อย่าไปหัดละคร เช่น
จะทำอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ อย่างนี้ไม่เอา เป็นต้น
อันนี้ใช้ไม่ได้สำหรับวิปัสสนา ต้องทำความรู้สึก ทำใจเหมือนกับเราดูละคร
อย่างนี้จิตจึงจะเป็นมัชฌิมา มิฉะนั้นจิตมักตกไปในอภิชฌาและโทมนัสเสมอ เมื่ออภิชฌาและโทมนัสเกิดแล้วก็ยากที่ปัญญาจะเกิดได้
ข้อ ๑๕. ผู้ทำวิปัสสนาอย่าตั้งใจ อันนี้ว่าไว้ครั้งหนึ่งแล้วว่า อย่าตั้งใจ หรือตั้งใจจะทำเพื่อให้จิตสงบหรือเป็นสมาธิ
ที่กล่าวมาทั้ง
๑๕ ข้อนี้ ล้วนสำคัญมากสำหรับผู้ที่จะเริ่มทำวิปัสสนา
พระประสาท
:- ต่อไปนี้ ขอให้คุณโยมอธิบาย ขยายความแต่ละข้อ
ข้อ
๑. ที่ว่าจะต้องเข้าใจรูปนามให้ดีเสียก่อนนั้น ข้อนี้อาตมาอยากจะทราบว่า คำว่า รูป
นาม ที่คุณโยมกล่าวนี้ หมายเอารูปนาม อย่างไร อาตมายังไม่เข้าใจ
รูปนามนี้อยู่ที่ไหน อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
อุบาสิกาแนบ
:- อันนี้ย่อมแล้วแต่ว่าเวลาไหน
จะเป็นเวลาเห็น เวลาได้ยิน เวลาได้กลิ่น เวลารู้รส เวลาถูกต้อง หรือเวลานั่ง นอน
ยืน เดิน
พระประสาท
:- เฉพาะอาตมานี้เพิ่งจะเริมปฏิบัติ สมมติว่าทางตา
รูปนามทางตานี่อาตมาก็ยังไม่เข้าใจ แต่อาตมาอยากจะศึกษาให้เข้าใจโดยละเอียด
รูปนามทางตานั้น อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม ปละควรจะต้องทำอย่างไร กำหนดอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- จะให้เข้าใจง่าย ๆ คือ รูปารมณ์ หรือ สี ที่เห็นนั้นเป็นรูป ธรรมชาติที่เห็น
หรืออาการที่เห็นเป็นนาม เป็นนามทางตา
พระประสาท
:- ทางหู ทางหู นี้อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
อุบาสิกาแนบ
:- ทางหู เสียงเป็นรูป ธรรมชาติที่ได้ยิน หรืออาการที่ได้ยินเป็นนาม เป็นนามทางหู
พระประสาท
:- ทางจมูก อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
อุบาสิกาแนบ
:- ทางจมูก กลิ่นเป็นรูป ธรรมชาติที่รู้กลิ่นหรืออาการที่รู้กลิ่นเป็นนาม
กลิ่นเป็นรูปทางจมูก
พระประสาท
:- ทางลิ้น อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
อุบาสิกาแนบ
:- ทางลิ้น รสเป็นรูป ธรรมชาติที่รู้รส หรืออาการที่รู้รสนั้นเป็นนาม
รสเป็นรูปทางลิ้น
พระประสาท
:- ทางกาย อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
อุบาสิกาแนบ
:- ทางกายได้แก่ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบถูกต้องกาย เป็นรูป
และธรรมชาติที่รู้ หรืออาการที่รู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน หรือรู้แข็ง เป็นนาม
ความเย็น
ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบถูกต้องกาย เป็นรูปทางกาย
ส่วนความเจ็บ
ปวด เมื่อย ขัด ยอก คัน (ทุกขเวทนาทางกาย) เป็นต้น เป็นนามทางกาย
ทางกายนี้
เราจะกำหนดรูปทางกาย หรือนามทางกายก็ได้ แล้วแต่สภาวธรรมอันใด
จะปรากฏชัดแก่เราในขณะนั้น
พระประสาท
:- ส่วนทางใจ อะไรเป็นนาม อะไรเป็นรูป
อุบาสิกาแนบ
:- ทางใจ อย่างหนึ่ง ได้แก่ อิริยาบถใหญ่ และ อิริยาบถย่อย อิริยาบถใหญ่ คือ ยืน
เดิน นั่ง นอน อิริยาบถย่อย คือ เหยียด คู้ เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น
เคลื่อนไหว มือ เท้า แปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าว กินน้ำ ถ่ายปัสสาวะ ถ่ายอุจจาระ
เป็นต้น หรือ ก้มหน้า เงยหน้า เหลียวซ้าย แลขวา ฯลฯ เหล่านี้ เป็นรูปทางใจ
(เพราะใจเป็นผู้สั่งให้เคลื่อนไหว)
ส่วนธรรมชาติที่รู้
หรืออาการที่รู้ นั่ง นอน ยืน เดิน ฯลฯ เป็นนาม
อีกอย่างหนึ่งได้แก่
ความนึก คิด ง่วง ฟุ้ง โกรธ ชอบ ต้องการ อยากได้ ฯลฯ เหล่านี้ เป็นนามทางใจ
ทางใจนี้
เราจะกำหนด รูปทางใจ หรือนามทางใจก็ได้ แล้วแต่ว่าสภาวธรรมอันใด
จะปรากฏชัดแก่เราในขณะนั้น ทำนองเดียวกับทางกายเหมือนกัน
พระประสาท
:- ข้อ ๒. ที่ว่า เมื่อรู้จักรูปนามดีแล้ว ก็ให้ลงมือกำหนดรูปนาม
ในปัจจุบันขณะเสมอ สมมติว่าทางตา ที่บอกว่ารูปารมณ์คือ สี เป็นรูป รู้สึกเห็น
เป็นนาม และบอกอีกว่า ให้ลงมือกำหนดรูปนามให้ดี กำหนดรูปนามทางตานี่
อาตมาขอให้ช่วยอธิบายด้วย
อุบาสิกาแนบ
:- การกำหนดทางตา ให้กำหนดนามเห็น คือกำหนดรู้สึกเห็นนั้นเอง
การกำหนดนามเห็นในที่นี้ คือ ในขณะที่กำหนดนั้น จะต้องรู้สึกว่า เวลานี้ดูนามเห็น
เวลากำหนดนามเห็นหรือดูนามเห็น จะต้องทำความรู้สึกตัวอย่างนี้เสมอ
พระประสาท
:- ที่ว่าให้กำหนดนามเห็นนั้น หมายความว่าอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- เพราะการเห็นนี้เป็นนาม จึงให้กำหนดนามเห็น อันนี้
เพื่อประโยชน์สำหรับจะถอนความเข้าใจผิด หรืออัตตารู้ที่ผิด
ที่อาศัยการเห็นเกิดขึ้นว่า “เรา” เห็น ถ่ายถอนอัตตสัญญาอันนี้ออก
ไม่ให้เลยไปถึงกำหนดรูป ให้กำหนดเพียงอาการรู้สึกเห็นเท่านั้น
ทำไมจึงให้กำหนดที่เห็น เพราะท่าทิฏฐิที่สำคัญว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเรา
อาศัยอยู่ที่การเห็นนั้น เพราะฉะนั้นสติสัมปชัญญะจะต้องกำหนดรู้ในการเห็นนั้น
เพื่อทำลายอัตตาและทิฏฐิ (อัตตานุทิฏฐิ หรือ สักกายทิฏฐิ)
พระประสาท
:- อัตตาและทิฏฐินั้น สำคัญว่าเราเห็น
อุบาสิกาแนบ
:- คือรู้สึกว่าเราเห็น แต่ความจริงไม่ใช่
นามเท่านั้น
เห็น นี่คือความจำเป็นที่จะต้องกำหนดที่นาม
พระประสาท
:- อาตมาเข้าใจแล้ว ทางตา ให้กำหนดที่นามเห็น ไม่ใช่เราเห็น
อุบาสิกาแนบ
:- ข้อสำคัญ เวลากำหนดนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องเข้าใจว่า “ให้รู้สึก” เท่านั้น
“ไม่ให้นึก” ไม่ให้นึกว่านามเห็น ๆ เพราะจะกลายเป็นบริกรรมไป
ปละสมาธิจะเกิดในที่สุด ให้แต่เพียงทำความรู้สึกว่าเห็นเท่านั้น ทำไมจึงรู้สึกว่า
“ให้รู้สึก” คำว่า “รู้สึก” นี้ เราจะต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อน
จะได้อธิบายละเอียดต่อไปข้างหน้า ก่อนเข้ากรรมฐาน ผู้ปฏิบัติย่อมเข้าใจนามรูปก่อนแล้ว
ดังที่ได้อธิบายมา “เห็น” เป็นนามหรือเป็นรูป ก็เข้าใจดีแล้ว ฉะนั้น
เวลาที่ผู้ปฏิบัติกำหนดลงไป ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องรู้ว่า กำลังดูอะไรอยู่
อันนี้สำคัญ ไม่ให้ “นึก” จะดูรูปอะไรก็เหมือนกัน ไม่ให้นึกทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จะเป็นจะต้องเข้าใจ
“การนึก” กับ “การรู้สึก”
ว่าแตกต่างกันอย่างไรให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นแล้ว จะไป “นึก” เอา
ซึ่งจะไม่เห็นความจริง
อุบาสิกาแนบ
:- เราภาวนา หรือเราบริกรรมว่า พุทโธ ๆ อรหํ ๆ อย่างนี้ เรา”นึก” หรือเช่น
เรานึกถึงเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว หรือที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นความจริงก็ได้
ไม่เป็นความจริงก็ได้ แต่ “รู้สึก” นั้น เราประจักษ์ความจริง “ขณะนั้น”
ซึ่งเป็นปัจจุบันอยู่ “รู้สึก” นั้น ไม่ต้องนึก คือรู้สึกเอง เหมือนเช่น
เวลาเรานั่งรับประทานอาหาร เราก็รู้สึกตัวว่า เวลานี้เรากำลังรับประทานอาหารอยู่
หรือว่ากำลังกินข้าวอยู่ เราไม่ได้นึกว่า เรากินข้าว ๆ ๆ เราไม่ได้นึกอย่างนี้เลย
ในวิปัสสนานั้น
ถ้าผู้ปฏิบัตินึกเอาแล้ว ย่อมไม่ได้เห็นปัจจุบัน ไม่ได้อารมณ์ปัจจุบัน
เพราะว่าจิตที่กำหนด ย่อมมัวไปนึกถึงเสีย จึงไม่ได้จับที่อารมณ์ปัจจุบัน
ในขณะที่นึกนั้น จิตจะต้องปล่อยอารมณ์ปัจจุบันมารับอารมณ์ที่นึกถึงนี้เสมอ
เพราะฉะนั้นจึงห้ามไม่ให้นึก อย่างเช่น นั่ง อย่างนี้ เราดูรูปนั่งอยู่
เรารู้สึกว่า กำลังนั่งอยู่ แต่ถ้าเราไปนึกบริกรรมว่ารูปนั่ง รูปนั่ง ๆ ๆ แล้ว
เราจะต้องทิ้งความรู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่ อันเป็นความรู้สึกปัจจุบันไปทันที
อันนี้ใช้ไม่ได้สำหรับวิปัสสนา แต่ว่าเราทำเพื่อสมาธิได้
เพราะสมาธิต้องการให้จิตอยู่ที่อารมณ์นั้นอันเดียว เรานึกอยู่ที่เดียว เรานึกอยู่อย่างเดียว
จิตจะได้สงบอยู่ที่เดียวไม่ย้ายไป แต่สำหรับวิปัสสนานี้ไม่ได้
เราต้องการอารมณ์ปัจจุบัน
พระสุนทร
:-
จิตต้องออกไปพบกับสภาวะที่มีอยู่จริงในขณะนั้น
อุบาสิกาแนบ
:- เพราะว่ากิริยาอาการนั่นแหละ ที่จะถูกยกขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนา
คอกำหนดให้เป็นตัวที่ถูกเพ่ง
พระประสาท
:- คำว่า “นึกเอา” กับ “รู้สึก” ต่างกันอย่างนี้ ความประสงค์ในที่นี้ เพียงแค่ให้
“รู้สึก” ไม่ให้เลยไปถึง “นึก”
อุบาสิกาแนบ
:- คือเพียงแต่รู้สึกว่า เวลานี้ ดูนามเห็นเท่านั้น คือรู้ด้วยสติสัมปชัญญะว่า
ตัวทำอะไรอยู่ ตัวดูอะไรอยู่อย่างนี้ เอาความรู้สึกเห็นนั้นเอง
มาเป็นอารมณ์วิปัสสนา คือตัวที่ถูกเพ่ง
พระประสาท
:- ทางหู ทางหูนี้จะให้กำหนดอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- ทางหูให้กำหนดนามได้ยิน
พระประสาท
:- นามได้ยิน หมายความว่า ที่รู้สึกได้ยินเสียง ใช่หรือไม่
อุบาสิกาแนบ
:- ถูกแล้ว มีเสียงอันหนึ่ง มีได้ยินอันหนึ่ง เมื่อมีได้ยินแล้ว
ก็มีสิ่งที่ถูกได้ยิน คือเสียง
พระประสาท
:- มีเสียงกันรู้สึกได้ยิน รวม ๒ อย่าง แต่ไม่ให้กำหนดเสียง
ให้กำหนดที่รู้สึกได้ยิน ทำนองเดียวกับทางตา
ให้เอาความรู้สึกได้ยินมาเป็นอารมณ์วิปัสสนา
คือ ตัวที่ถูกเพ่ง
คราวนี้ทางจมูก
ทางจมูกนี้เราจะกำหนดอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- ทางจมูกนี้ ความรู้สึกที่รู้กลิ่นนี้ ละเอียดมาก แล้วรู้สึกได้ไม่ชัด
โดยมากเราจึงเข้าใจอยู่ “ที่กลิ่น” เข้าใจว่า เราเหม็น หรือ เราหอม เราเหม็น
เราหอม นี้ ความจริงเหม็นและหอมนี้อยู่ที่กลิ่นของวัตถุ แต่เราเอากลิ่นเหม็นหรือหอมของวัตถุนั้น
มาเป็นของเรา ว่าเราเหม็น ว่าเราหอม )นั้น เวลากำหนด ท่านจึงให้กำหนดกลิ่น
กำหนดรูปเหม็นหรือรูปหอม ไม่ใช่กำหนดความรู้สึกเหม็นหรือหอม
ต่างกันกับทางตาและทางหู ซึ่งให้กำหนดความรู้สึกเห็นหรือได้ยิน
การที่กำหนดต่างกันนั้น แล้วแต่ว่า สำคัญว่า “เรา” อยู่ที่ไหน
บางทีเราสำคัญ
เอารูปเป็นเรา บางทีเราสำคัญเอานามเป็นเรา เพราะฉะนั้น จึงอยู่ที่รู้สึกว่า
เอาอะไรเป็น “เรา” ถ้ารู้สึกว่าเอารูปเป็น “เรา” ก็ให้พิจารณารูป
ถ้ารู้สึกเอานามเป็น “เรา” ก็ให้พิจารณานาม
พระประสาท
:- ทางตากับทางหูนั้นเรารู้สึกเห็น รู้สึกได้ยิน เป็นความรู้สึกที่เป็นนาม
จึงให้กำหนดที่นาม สำหรับทางจมูกนี้ เราเหม็น หรือ เราหอม จึงให้กำหนดที่รูปกลิ่น
คือรูปเหม็น หรือรูป หอม ซึ่งเรายึดว่าเป็นเรา
ต่อไปนี้
ทางลิ้น จะให้กำหนดอะไร กำหนดรูป หรือว่ากำหนดนาม
อุบาสิกาแนบ
:- กำหนดรูปอีก ทำนองเดียวกับกลิ่นนั่นเอง ทางลิ้นก็กำหนดรูปรส
ต้องทำความรู้สึกว่าเป็นรูปด้วยเป็นรูปรส
พระประสาท
:- ให้กำหนดรู้ว่าเปรี้ยว ว่าหวานด้วยหรือไม่
อุบาสิกาแนบ
:- จะกำหนดเพียงรูปรสเฉย ๆ ก็ได้ หรือจะกำหนดรูปเปรี้ยวหรือรูปหวานก็ได้
เช่นเดียวกับกำหนดรูปกลิ่น จะกำหนดรูปกลิ่นเฉย ๆ ก็ได้ หรือจะกำหนดรูปเหม็น
รูปหอมก็ได้
พระประสาท
:- รูปเปรี้ยว รูปหวาน รูปเหม็น รูปหอม จะไม่เป็นบัญญัติหรือ
อุบาสิกาแนบ
:- เป็นบัญญัติก็จริง แต่ว่าสภาวะนี้มีอยู่ คือความจริงมีอยู่
พระประสาท
:- ทางจมูกให้เอากลิ่นเป็นอารมณ์กรรมฐาน ทางลิ้นให้เอารสเป็นอารมณ์กรรมฐาน
วิธีกำหนด ให้รู้จักเพียงรูปกลิ่นและรูปรสเท่านั้น
พระประสาท
:- ทางกายให้กำหนดอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- ทางกาย ก็ให้กำหนดรูปอีกเหมือนกัน อารมณ์ที่พึงกระทบกายให้รู้สึกได้นั้นคือ
ความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็งของวัตถุ ซึ่งเป็นรูปทั้งนั้น
แต่เรามักเข้าใจว่าเราเย็น เราร้อน เรานุ่ม เรากระด้าง อย่างนี้ เอาความเย็น
ความร้อน ความอ่อน ความแข็งของวัตถุนั้นมาเป็นของเรา
เพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง นั้น
ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นสภาวะของวัตถุ เมื่อรูปใดมากระทบ
ท่านก็ให้รู้ในขณะนั้นว่าเป็นรูปเย็น รูปร้อน รูปอ่อน รูปแข็ง ขณะนี้กำลังกำหนด
รูปเย็น หรือดูรูปเย็น ดูรูปร้อน อยู่ดังนี้
พระสุนทร
:- เวลาที่เรากำหนดรูปนั้น ต้องกำหนดทีละรูป
อุบาสิกาแนบ
:- ธรรมดาตามหลักของท่าน ท่านเอาอายตนะ ทั้ง ๓ อย่างนี้ คือ ทางจมูก ทางลิ้น
ทางกาย มารวมกัน คำบาลีเรียกว่า มุตํ เพราะมีลักษณะอย่างเดียวกัน
คือมีความรู้สึกอ่อนมาก ถ้ารูปที่มากระทบประสาทนั้นอยู่ไกล ก็ไม่สามารถรู้สึกได้
ต่อเมื่อรูปนั้นมากระทบ สัมผัสถูกต้อง ประสาทจริง ๆ จึงสามารถรู้รูปนั้นได้ชัดเจน
บาลีเรียกว่าสัปปฏิฆะ เวลากำหนด ท่านจึงให้กำหนดรูป เหมือนกันหมดทั้ง ๓ ทวาร
เพราะความเข้าใจผิด อาศัยอยู่ที่รูปเหล่านี้ว่า เราเหม็น เราหอม เราเผ็ด
เราเปรี้ยว เราเย็น เราร้อน
ส่วนความรู้สึกทางตา
และทางหู ซึ่งคำบาลีว่า ทิฏฐํ และ สุตํ นั้นแรงมาก แม้รูปคือ สี และ เสียง
ที่มากระทบประสาทจะอยู่ไกล ก็สามารถรู้สึกได้ชัดเจน บาลีเรียกว่า อัปปฏิฆะ
จนเข้าใจผิดว่าเราเห็น เราได้ยิน ความเข้าใจผิด อาศัยอยู่ที่นามเห็น นามได้ยิน
ท่านจึงให้กำหนดที่นาม
พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระพาหิยะ
ระหว่างทางเสด็จบิณฑบาต มีอายตนะ ๔ เท่านั้น คือ ทิฏฐํ (การเห็น) สุตํ (การได้ยิน)
มุตํ (รูปกลิ่น รูปรส รูปสัมผัส) และวิญญาณํ (รู้สึกทางใจ)
แต่อายตนะทั้ง
๔ นี้ บางทีท่านก็ขยายเป็นอายตนะ ๖ คือแยก มุตํ ออกเป็น ๓ อายตนะ คือ ทางจมูก ลิ้น
และกาย แทนที่จะนับเพียงหนึ่ง
พระประสาท
:- แล้วลักษณะของกลิ่น รส หรือเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็เป็นคนละอย่าง
อุบาสิกาแนบ :- แม้อย่างนั้น ท่านก็ให้กำหนดเป็นรูปเหมือนกันหมด
อุบาสิกาแนบ :- แม้อย่างนั้น ท่านก็ให้กำหนดเป็นรูปเหมือนกันหมด
พระสุนทร
:- ที่ว่ากำหนดเป็นรูปเหมือนกันน่ะ คำว่า “เหมือนกัน” ในที่นี้ หมายถึงว่า
กำหนดให้รู้ว่าเป็นรูปเหมือนกัน ให้จัดเป็นรูปเหมือนกันเท่านั้น
ไม่ใช่หมายความว่ากลิ่นกับรสเป็นอย่างเดียวกัน ไม่ใช่อย่างนั้น
พระประสาท
:- ทีนี้สำหรับทางใจ
อุบาสิกาแนบ
:- ทางใจ โดยมากก็เกี่ยวกับการใช้อิริยาบถ
พระประสาท
:- แล้วจะตั้งสติอย่างไร เช่น เดิน ยืน นั่ง นอน
อุบาสิกาแนบ
:- อิริยาบถใหญ่ได้แก่ นั่ง นอน ยืน เดิน อิริยาบถย่อย ได้แก่ เคลื่อนไหว คู้
เหยียด ในมหาสติปัฏฐานท่านกล่าวไว้ว่า ตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างไร
ก็ให้รู้ในอาการนั้น ๆ เช่นเรานั่งอยู่ ก็ให้รู้ในท่าที่นั่งนั้น ให้ดู
ให้กำหนดรู้ท่าที่นั่ง ให้ทำความรู้สึกว่าดูรูปนั่ง ดูรูปนั่งน่ะ หมายถึง
ดูท่าที่นั่ง เพราะท่านั่งนั้นเป็นรูป เป็นอาการของรูป
พระสุนทร
:- ลักษณะที่ดูนั้น คือเพ่งกิริยาอาการของท่าทางนั้น ๆ ใช่หรือไม่
อุบาสิกาแนบ
:- กำหนดนั่นแหละ เรียกว่ากำหนดก็ได้ รู้สึกก็ได้ เรียกว่ารู้ก็ได้ เรียกว่าดูก็ได้
เรียกว่าเพ่งก็ได้ เรียกว่าพิจารณาก็ได้ สรุปแล้วก็คือ รู้ด้วยสติสัมปชัญญะนั่นเอง
คือจะต้องรู้ตัวอยู่เสมอ หรือว่ารู้ในกาการนั้น หรือว่าในรูปนั้น
ข้อสำคัญจะทิ้งรูปนามไม่ได้เลย จะต้องมีรูปนามติดตามความรู้สึกไปด้วยเสมอ
พระสุนทร
:- จุดหมายสำคัญก็คือว่า เวลาที่ดูนั่นน่ะ ต้องให้รู้ว่าดูรูปอะไร
อุบาสิกาแนบ
:- ใช่แล้ว เช่น ดูรูปนั่ง รูปนอน รูปยืน หรือ รูปเดิน จะรู้สักแต่ว่าเป็นรูปเฉย ๆ
ก็ไม่ได้อีก เพราะรูปมีหลายอย่าง (หมายถึงมีกิริยาต่าง ๆ กัน)
ประเดี๋ยวจะเห็นเป็นรูปอย่างเดียวกันไปหมด คือ เป็นแท่ง เป็นก้อน นั่งก็ก้อนนี้
ยืนก็ก้อนนี้ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ จะกลายเป็นอัตตาไป จะตี
ฆนะสัญญาให้กระจายออกไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง การกำหนดรู้ว่านั่งเฉย ๆ แต่ไม่
“รู้สึก” ว่ารูปนั่ง ก็จะเอา “เรา” ออกจากนั่งไม่ได้
พระประสาท
:- ตามธรรมดา เรารู้สึกอยู่ว่า “เรา” นั่ง “เรา” นอน “เรา” ยืน
ท่านจึงให้กำหนดรู้แต่เพียงรูปนั่ง รูปนอน รูปเดิน หรือรูปยืน
อุบาสิกาแนบ
:- ความรู้สึกในเวลาที่ดูนั้นคือ รู้สึกว่า ดูรูปนั่ง หรือดูรูปนอน
เพื่อจะให้เห็นว่ารูปนั้นมีต่าง ๆ หัน ไม่ใช่รูปอันเดียวกัน
อุบาสิกาแนบ
:- คือ เรารู้ในท่านั้นเท่านั้นเอง หมายถึงรู้ในกิริยาอาการของอิริยาบถนั้น
ความสำคัญในอิริยาบถนี้คือ เมื่อก่อนเข้ากรรมฐาน เราก็รู้ ว่านั่ง ว่านอน ว่ายืน
ว่าเดิน รู้จักอยู่แล้วในอาการนั้น ๆ ทีนี้เมื่อเราเข้ากรรมฐาน
เราก็รู้ในอาการอย่างนั้น รู้อย่างที่เรารู้ เมื่อยังไม่เข้ากรรมฐานนั่นเอง
แต่ว่าเปลี่ยนความรู้สึกนิดหนึ่งว่าเป็นรูปนั่งเท่านั้น
พระสุนทร
:- รูปนั่ง รูปนอน รูปยืน ทั้งสามรูปนี้ เป็นลักษณะรูปที่อยู่เฉย ๆ ไม่ใช่รูปไหว
รูปเดินรูปเดียวเป็นรูปไหว รูปนั่ง รูปนอน รูปยืน ทั้ง ๓
รูปนี้มีกิริยาท่าทางอย่างไรก็ให้รู้ในทานั้นแต่ละท่า ไม่จำเป็นจะต้องไปรู้ตรงนั้น
รู้ตรงนี้ ไม่จำกัดว่า จะต้องตั้งสติลงไปตรงนั้นตรงนี้
อุบาสิกาแนบ
:- ตั้งลงไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นอาการ ให้รู้ในอาการเป็นส่วนรวม
รู้เหมือนอย่างเมื่อยังไม่เข้ากรรมฐานนั่นเอง
รู้ว่านั่งเหมือนอย่างเมื่อยังไม่ได้เข้ากรรมฐาน นั่งอย่างเดียวกัน
รู้อย่างเดียวกัน แต่ว่าทำความรู้สึกว่าเป็นรูปเท่านั้นเอง
พระประสาท
:- ให้มีสติคุมอยู่
อุบาสิกาแนบ
:- ให้มีสติและทำความรู้สึกว่าเป็นรูปนั่งเท่านั้นเอง
พระสุนทร
:- เมื่อดูรูปนั่งถูกต้องแล้ว รูปยืน รูปนอน ก็อย่างเดียวกัน ทีนี้ส่วนรูปเดินล่ะ
อุบาสิกาแนบ
:- รูปเดินก็ให้ดูในอาการที่ก้าวไป ดูที่กำลังก้าว ดูอาการที่กำลังก้าวไปนี้
ไม่มีก้าวแล้ว เดินก็ไม่มี แม้เท้าจะมีอยู่ก็ตาม
พระประสาท
:- ไท้ได้หมายเอาว่า ก้าวขึ้นหรือลงไปเหยียบถูกต้อง อะไรอย่างนี้ใช่ไหม
อุบาสิกาแนบ
:- ใช่
แล้วใช้สติรู้สึกในอาการที่กำลังก้าวอยู่นั้น การจะดูรูปก้าวหรือรูปเดิน
ต้องเอาสติรู้สึกอาการที่กำลังก้าวไป ไม่ใช่เอาสติไปรู้สึกที่ส้นเท้า
หรือเอาสติไปรู้สึกที่ขา หรือที่ส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ ถึงแม้จะมีเท้ามีขาก็ตาม
แต่ถ้าไม่มีอาการก้าวแล้ว รูปเดินนั้นยังไม่มี ยังไม่เกิดขึ้น
รูปเดินยังปรากฏไม่ได้
พระสุนทร
:- เอาสติไปจับตั้งแต่เท้าเริ่มไหวพ้นพื้นไป ใช่หรือไม่
อุบาสิกาแนบ
:- เพียงแต่รู้สึกว่าก้าวไปตามธรรมดานี่แหละ ไม่ต้องระวังให้ผิดปกติมาก
เพราะว่าเราไม่ได้ทำความเข้าใจผิดในขณะที่กำลังก้าวอยู่นี้
เราได้ทำความเข้าใจผิดมาแล้วตลอดเวลาก่อนเข้ากรรมฐาน ตามที่เรารู้สึกชัด ๆ
ในอาการก้าวเดิน เมื่อยังไม่เข้ากรรมฐานอย่างไร
เวลาเข้ากรรมฐานก็ให้ถือเอาอาการก้าวเดินที่รู้สึกชัด ๆ อย่างนั้น
แต่ให้ทำความรู้สึกเสียใหม่ว่าเป็นรูปเดินเท่านั้น (ไม่ใช่เราเดิน
อย่างที่เคยรู้สึกเมื่อก่อนเข้ากรรมฐาน)
พระสุนทร
:- คือรู้ว่าเป็นรูปเดิมเท่านั้นเอง
อุบาสิกาแนบ
:- เท่านั้นเอง ต้องการเท่านั้น การระวังมากไป หรือว่าพิจารณามากไป
จนถึงในระยะที่ยกเท้า หรือขณะที่ย่างเดินไปเช่นนี้
ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากจึงจะใช้ได้ แต่ท่านก็ไม่ได้กล่าวไว้
แม้ผู้มีปัญญามากก็ไม่ใช่จะกำหนดเป็น ๖ ระยะ ในขณะก้าวเดิน ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ ๓
ระยะก็ไม่ใช่ ในขณะที่ก้าวไป และท่านกำหนดในการก้าวนั้น ท่านสามารถรู้ได้ถึง ๖
ระยะ ความรู้สึกนั้นเกิดได้ ปรากฏได้ถึง ๖ ระยะอย่างนี้ต่างหาก ไม่ใช่ไปทำให้เป็น
๖ ระยะ ผู้มีปัญญาในที่นี้หมายถึง พระอรหันต์ เช่น พระสารีบุตร เป็นต้น
เมื่อท่านก้าวไปธรรมดาและกำหนด ท่านสามารถรู้ได้ถึง ๖ จังหวะ ทั้งนี้เพราะชวนจิตของท่านเร็วกว่าของเรามาก
พระสุนทร
:- ไม่ใช่ไปกำหนดการก้าวเดินให้เป็น ๖ ตอน
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ใช่อย่างนั้น เราจะไปกำหนดอย่างนั้น ให้เหมือนผู้ที่มีปัญญารู้น่ะไม่ได้
ของเราเอาแต่เพียงมีสติรู้ว่าก้าวไปแต่ละก้าวเท่านั้นพอแล้ว เมื่อปัญญาเราเกิดแล้ว
จะสามารถรู้ได้ระยะไหนบ้าง ตรงไหนบ้าง ย่อมปรากฏเอง การกำหนดหรือว่าการดูของเรา
ดูแต่เพียงก้าวไปทีละก้าวเท่านั้นพอแล้ว
พระสุนทร
:- ก็เพียงแต่ว่าตั้งใจดูแค่อาการที่ไหวแต่ละครั้ง ๆ เท่านั้นหรือ
อุบาสิกาแนบ
:- ที่ก้าวไปนั่นแหละ
พระสุนทร
:- แต่ว่าสติสัมปชัญญะจะไปจับตรงไหน
อุบาสิกาแนบ :- จับอยู่ที่ อาการที่กำลังก้าวไปนั่นแหละ ก้าวไปก้าวหนึ่ง ๆ ตามที่เรารู้ เมื่อยังไม่ได้เข้ากรรมฐานนั่นแหละ อันนี้แหละเป็นความสำคัญ
อุบาสิกาแนบ :- จับอยู่ที่ อาการที่กำลังก้าวไปนั่นแหละ ก้าวไปก้าวหนึ่ง ๆ ตามที่เรารู้ เมื่อยังไม่ได้เข้ากรรมฐานนั่นแหละ อันนี้แหละเป็นความสำคัญ
พระประสาท
:- อันนี้อยู่ในหัวข้อที่ว่า ให้กำหนดรู้ว่านี่นามอะไร รูปอะไร ไม่ให้นึกเอา
เป็นจริงอย่างไร รู้อย่างนั้น คราวนี้ ตรงนี้หมายความว่าอย่างไร ในขณะที่กำหนดนั้น
ต้องระวังอย่าให้มีความรู้สึกว่าจะกำหนดเพื่อต้องการอะไร” อย่างเช่น
ต้องการเห็นการเกิดดับเป็นต้น เมื่อไม่ประสงค์แล้ว จะทำกรรมฐานเพื่ออะไร
อุบาสิกาแนบ
:- ถ้าความต้องการเข้าไปแล้ว ใช้ไม่ได้ทีเดียว เพราะความต้องการนั้น เป็น อภิชฌา
(โลภะ) ถ้าไม่เห็นตามที่ต้องการ และไม่ได้ตามที่ต้องการแล้ว จะทำให้เกิดโทมนัสขึ้น
(โทสะ)
พระประสาท
:- ก็ถ้าทำกรรมฐานโดยไม่ต้องการอะไรแล้วจะไม่เฉื่อยชาไปหรือ
อุบาสิกาแนบ
:- ถ้าเราดูแล้ว เราจะต้องการหรือไม่ต้องการก็เห็น ถึงไม่ต้องการจะเห็นก็ต้องเห็น
ถึงต้องการจะเห็นก็ต้องเห็น แล้วเหตุใดเล่า จึงต้องเอากิเลสเข้าไปอาศัยในการดู
การเห็นนั้นด้วย ถ้ากิเลสเข้าไปอาศัย ในความรู้สึกอันนั้นแล้ว ดูก็จะไม่เห็น
เพราะฉะนั้นไม่ต้องให้กิเลสเข้าไปอาศัยอยู่ คือ
ไม่ต้องการให้ความต้องการนั้นเข้าไปอาศัยแดบังความจริงเสีย
ถ้าความต้องการเกิดขึ้นในที่ใด ก็จะทำให้รู้สึกว่าอารมณ์นั้นน่ะดี
เป็นอย่างนี้เสมอ ไม่ว่าจะต้องการอารมณ์อะไรก็แล้วแต่
ถ้ารู้สึกต้องการมีในที่ไหนแล้ว ก็จะทำให้รู้สึกว่าอารมณ์นี้ดี อารมณ์นี้เป็นสาระ
อารมณ์นี้เป็นประโยชน์ แต่ความจริงนั้น อารมณ์นั้นไม่ดี ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
ไม่มีสาระ ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้น ถ้าความรู้สึกต้องการเข้าไป
ความรู้สึกว่าดีก็ต้องมีอาศัยอยู่ด้วย และความรู้สึกว่าไม่ดี
ไม่เที่ยงจะเกิดไม่ได้เลยในขณะนั้น
พระประสาท
:- หมายความว่า ให้กำหนดรู้ตามธรรมดาของเขาเอง ว่าเขาเป็นอยู่แค่ไร อย่างไร
ไม่ต้องไปสร้างขึ้นมาใหม่
อุบาสิกาแนบ
:- ระวังความรู้สึกเท่านั้น คนเราตามธรรมดาแล้ว ทำอะไรต้องมี “ความรู้สึกต้องการ”
เข้าไปทั้งนั้น เมื่อ “ความต้องการ” เข้าไปแล้ว จึงทำ
เมื่อมีความต้องการก็จะมีความสำคัญเกิดขึ้นว่าสิ่งนี้ดี จึงต้องการ ใช่หรือไม่
ตามธรรมดาของคนเราเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น การที่จะกันเอาความต้องการออกจากอารมณ์ต่าง
ๆ ออกจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นในอารมณ์ต่าง ๆ นี้น่ะยากมาก
ต้องทำความเข้าใจให้ดีและถูกต้องทีเดียว ต้องใช้ความสังเกต
อันนี้สำคัญมากสำหรับผู้ปฏิบัติ
พระประสาท
:- ตัดความต้องการทั้งหมด แม้จะต้องการให้เห็นเกิด เห็นดับ ก็ไม่จำเป็น
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ได้เลย เกิดดับนี่น่ะ เป็นของไม่ดี แต่เหตุใดเล่าจึงต้องการ
ก็เพราะสำคัญว่ามีใช่ไหม
พระประสาท
:- เวลาเข้าปฏิบัติ โดยมากก็ว่าต้องการเห็นความเกิดดับ
เพราะนึกว่าดีสำหรับผู้ปฏิบัติ
อุบาสิกาแนบ
:- ที่จริงไม่ถูก ถ้าหากว่าเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติจะเข้าไม่ถึงวิสุทธิ
เพราะว่าตัณหาและทิฏฐิจะเข้าอาศัยความรู้สึกของผู้ปฏิบัตินั้นเสมอ ๆ
ตลอดเวลาที่ปฏิบัติ เราจะต้องกั้นให้ตัณหาและทิฏฐินั้นห่างออกไป
ตามมหาสติปัฏฐานท่านว่า ตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว จึงจะใช้ได้
จึงจะเข้าถึงวิสุทธิได้
พระประสาท
:- เป็นอันว่า ไม่จำเป็นจะต้องไปนั่งระวังนึกคิดอย่างนั้น
อุบาสิกาแนบ
:- นั่งเพื่อต้องการนั้นสำคัญมาก ส่วนมากต้องการจะดู
เพราะฉะนั้นเวลานั่งจึงให้พิจารณารูปนั่ง ทำความรู้สึกดูรูปนั่ง ผู้ปฏิบัติส่วนมาก
แม้กำลังดูรูปนั่งอยู่ก็ตาม แต่ว่าในใจคิดว่าจะดูเพื่อให้เห็นนั่นเห็นนี่
อันนี้ก็ห้าม ถ้าไม่จำเป็นไม่ให้ใช้อิริยาบถ ถ้าไปใช้โดยไม่จำเป็นแล้ว
ความต้องการจะเข้ามาอาศัยเสมอ เพราะว่าเราใช้อิริยาบถด้วยความต้องการ ใช่หรือไม่
เราไม่ได้ใช้ด้วยความจำเป็น อันนี้จะกันกิเลสไม่ได้เลย
จะกันกิเลสออกจากอิริยาบถนั้นไม่ได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น