ข้อปฏิบัติสำหรับผู้เริ่มเข้ากรรมฐาน (ต่อ)
ความรู้เบื้องต้นของผู้เข้าปฏิบัติธรรม
พร้อมด้วยเหตุผล
พระประสาท
:- ฉะนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ ถ้าไม่ใช้จะเลิกเสียเลยจะได้หรือไม่
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ได้ ไม่ได้อีก จำเป็นที่เราจะต้องใช้ เราจะไม่ใช้น่ะไม่ได้
ขอให้ทำความรู้สึกว่า ในการที่จะต้องใช้นี้ก็เพราะจำเป็น
มิฉะนั้นจะกันกิเลสไม่ได้เลย
พระประสาท
:- ที่คุณโยมบอกว่ารูปนาม ไม่ให้กำหนดพร้อมกันคราวเดียวสองอย่าง ให้กำหนดทีละอย่าง
ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ก็พูดกันว่า ให้กำหนดรูปนาม จะกำหนดพร้อมกันไม่ได้หรือ
อุบาสิกาแนบ
:- จำกำหนดรูปนามพร้อมกันไม่ได้เลย ตามธรรมดาแล้ว จะกำหนดพร้อมกันไม่ได้เลย
ถ้าไม่เข้าใจเหตุผลให้ดีแล้ว ก็มักจะกำหนดไปพร้อมกัน เช่นเมื่อเวลาก้าวย่างไป
ก็กำหนดไปพร้อมกัน โดยนึกเอาว่า ย่างเป็นรูป รู้เป็นนาม ย่างเป็นรูป รู้เป็นนาม
นั่งเป็นรูป รู้เป็นนาม นอนเป็นรูป รู้เป็นนาม อย่างนี้ ขณะที่จิตดูอยู่นั่นแหละ
แต่ว่านึกไปอย่างนี้เสมอ อันนี้ใช้ไม่ได้ เพราะใช้นึกเอา แล้วก็ที่บริกรรมว่า
นั่งเป็นรูป รู้เป็นนาม ๆ อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้อีก เพราะว่า ขณะนั้น
เราเอารูปเป็นกรรมฐานแล้ว แล้วจะไปเอานามมาเป็นกรรมฐานได้อีกอย่างไร
นามเป็นตัวทำวิปัสสนา คือตัวเพ่ง รูปเป็นตัวกรรมฐาน คือตัวถูกเพ่ง โดยเหตุนี้เอง
การที่จะไปรู้นามที่ทำวิปัสสนาอีกจึงรู้ไม่ได้
การเอานามที่ทำวิปัสสนามาเป็นตัวกรรมฐานอีกจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะไม่ได้ปัจจุบัน
พระประสาท
:- หมายความว่า จะไปกำหนดให้รู้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน ในเวลาเดียวกันไม่ได้
เรารู้อารมณ์ได้แต่ทีละอารมณ์เท่านั้น
อุบาสิกาแนบ
:- จะเอารูปเป็นตัวกรรมฐาน หรือว่าเอานามเป็นตัวกรรมฐาน
ก็ให้เลือกเอาแต่อย่างเดียว
พระประสาท
:- ข้อที่ว่า จะใช้อิริยาบถย่อย หรือ เปลี่ยนอิริยาบถใหญ่ก็ตาม ถ้าไม่จำเป็น
ก็ไม่ให้เปลี่ยน หรือว่าไม่ให้ใช้เลย อันนี้ขอให้อธิบายว่า จะกำหนดกันเพียงไหน
ที่ว่า “จำเป็น” หรือ “ไม่จำเป็น”
อุบาสิกาแนบ
:- ในเรื่องจำเป็นหรือไม่จำเป็นแค่ไหนนั้น จะไปกำหนดตายตัวไม่ได้
แล้วแต่ความจำเป็นของแต่ละคน คนเรานี้ นั่งอยู่นิ่ง ๆ นานเกินสมควรไม่ได้
มือไม้จะไม่ยกก็ไม่ได้ มันจำเป็นจะต้องยกในบางเวลา บางโอกาส การนั่ง นอน ยืน เดิน
ก็เหมือนกัน เราจะใช้อิริยาบถเดียวเช่นในการนอน ตลอดไปย่อมไม่ได้
เราจำเป็นต้องเปลี่ยนอิริยาบถ
พระประสาท
:- เวลาจำเป็นต้องเปลี่ยนอิริยาบถ สำหรับผู้ปฏิบัติย่อมรู้อยู่แล้วว่า จะต้องกำหนด
คราวนี้ก็เกิดความรู้สึกว่า จะต้องพยายามทำให้ดี
ให้เป็นอิริยาบถที่เป็นอารมณ์กรรมฐานขึ้นมา อย่างนี้ใช้ได้หรือเปล่า
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ต้องทำ เพราะว่าการที่เราจะต้องเปลี่ยน จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนนี้
จะต้องรู้ว่า ไม่เปลี่ยนไม่ได้ มีทุกข์เกิดขึ้น จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน
อันนี้เป็นของจำเป็น ไม่เปลี่ยนไม่ได้
พระประสาท
:- ที่คุณโยมบอกว่าจำเป็นต้องใช้ หรือจำเป็นต้องเปลี่ยน
ก็ให้รู้เหตุในความจำเป็นนั้น ๆ เสียก่อน หมายถึงอย่างไร
พระประสาท :- สมมติว่า นั่งอย่างนี้ แล้วก็จำเป็นจะต้องลุกออกไปข้านอก ออกไปเดินอะไรอย่างนี้
อุบาสิกาแนบ
:- เราลุกออกไปทำไม อยากจะลุก อยากจะเดินเท่านั้นหรือ
พระประสาท
:- ไม่ใช่ สมมติอยากจะลุกออกไปข้างนอก ตื่นขึ้นมาแล้วจะลุกออกไปล้างหน้า
อุบาสิกาแนบ
:- ลุกออกไปล้างหน้า
จำเป็นหรือเปล่าการล้างหน้า
พระประสาท
:- ก็จำเป็นอยู่
อุบาสิกาแนบ
:- แล้วจำเป็นอย่างไร
พระประสาท
:- เราจะต้องออกไปล้างหน้า นี่มันเป็นปกติ จำเป็นเหลือเกิน
อุบาสิกาแนบ
:- ถ้าไม่ล้างแล้ว มันจะเป็นอย่างไร
พระประสาท
:- มันก็สกปรก
อุบาสิกาแนบ
:- มันไม่สบายใช้ไหม
พระประสาท
:- มันไม่สบาย
อุบาสิกาแนบ
:- นั่นคือความจำเป็น ถ้าไม่ล้างแล้วไม่สบาย เราจึงต้องไปล้าง
เพราะจำเป็นก็ให้รู้ว่าเราจำเป็น การล้างหน้า ถ้าไม่ล้างแล้วไม่ได้ มันเป็นทุกข์
อันนี้ให้รู้อย่างนี้เสียก่อน แล้วจึงค่อยลุกไปทำ
พระประสาท :- หมายความว่า ให้รู้เหตุว่าจำเป็นต้องออกไป
พระประสาท :- หมายความว่า ให้รู้เหตุว่าจำเป็นต้องออกไป
อุบาสิกาแนบ
:- รู้ให้ถูก ว่าถ้าไม่ล้างไม่ได้ ต้องล้าง ถ้าเราไม่พิจารณาเหตุให้ถูกต้องแล้ว
เราก็จะเข้าใจว่าเราอยาก อยากล้าง อยากนั่ง อยากเดิน อย่างนี้เป็นต้น
ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงไม่ใช่นั่ง นอน ยืน เดิน เพราะเราอยากนั่ง
อยากนอน อยากเดิน อาบน้ำ กินข้าว หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่อย่างนั้น
ความจริงเพราะต้องนั่ง ต้องนอน ต้องยืน ต้องเดิน ฯลฯ ต่างหาก
ที่ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ เพราะเหตุอะไร เราก็จะรู้ความจริงได้ว่า อ๋อ
ที่เปลี่ยนอิริยาบถไปนี่ เพราะทุกข์เกิดขึ้น จำเป็นจะต้องเปลี่ยน เพื่อแก้ทุกข์
พระประสาท
:- เพราะว่าไม่สบาย จึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถ
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ใช่เพราะอยาก ถ้าสำคัญว่าอยากเปลี่ยนละก็ผิด ถ้าไม่อยาก เราจะ ไม่ เปลี่ยน
จะได้หรือไม่
พระประสาท
:- คนเราไม่เปลี่ยนอิริยาบถเลยย่อมไม่ได้ แม้เราจะไม่อยากเปลี่ยนก็ตาม
อุบาสิกาแนบ
:- ถูกแล้ว ย่อมไม่ได้ ฉะนั้น ที่เข้าใจว่าอยากเปลี่ยน จึงเปลี่ยน
ก็เป็นการเข้าใจที่ไม่ถูก เพราะเราถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยน
พระประสาท
:- ปกติ ก็เข้าใจกันว่า ที่เปลี่ยนอิริยาบถ เพราะอยากเปลี่ยน
อุบาสิกาแนบ
:- เพราะว่าปกตินั้น เราไม่ได้พิจารณา
พระประสาท
:- ไม่ได้พิจารณาตรงว่า เพราะมันไม่สบาย จึงต้องเปลี่ยน แต่ไปพิจารณาตรงว่า
อยากหาความสบาย จึงเปลี่ยน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด
อุบาสิกาแนบ
:- ให้พิจารณาตามเหตุผลที่ตรงกับความจริง เช่น เกิดความเข้าใจผิดขึ้นว่า
เราอยากเปลี่ยนอิริยาบถ ให้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า ถ้าเราไม่อยากเปลี่ยน จะไม่เปลี่ยนอิริยาบถเลย
นั่งอยู่ในท่าเดียวตลอด จะได้หรือไม่ ก็ได้คำตอบว่า ไม่ได้
ถ้าไม่เปลี่ยนอิริยาบถเลยไม่ได้
ฉะนั้น ที่เข้าใจว่า ที่เปลี่ยนอิริยาบถเพราะอยากเปลี่ยน
ก็เป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงต่อความจริง (ถ้าหาก
การที่เปลี่ยนอิริยาบถเพราะอยากเปลี่ยนเป็นความจริง เราไม่เปลี่ยน เพราะไม่อยาก
ก็ย่อมทำได้ ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นการเปลี่ยน
เพราะอยากเปลี่ยนจึงไม่เป็นความจริง)
พระประสาท
:- ที่ว่าอยากเปลี่ยนนั้น สังเกตเอาตามความรู้สึกแล้วก็ว่า นั่งอยู่นี่มันไม่สบาย
แต่ในใจนั้นไปมุ่งว่า อยากจะเปลี่ยนเพื่อให้มันสบาย เช่นว่า เมื่อยก็นอน
อย่างนี้เป็นต้น
อุบาสิกาแนบ
:- เวลาจะเปลี่ยนอิริยาบถนี้ ต้องรู้ว่าเปลี่ยนเพราะเหตุนั้น
พระประสาท
:- ต้องดูเหตุเสียก่อน
อุบาสิกาแนบ
:- เป็นต้นว่า เพราะเหตุว่าทุกข์ ถ้าหากว่า เปลี่ยนเพราะทุกข์บังคับแล้ว
ความรู้สึกต้องการนั้นจะไม่เข้าเลย จะไม่เข้าไปอาศัยในความรู้สึกเลย เพราะฉะนั้น
เราจำเป็นต้องเปลี่ยนใช่ไหม ต้องเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนเพื่ออะไร ถ้าหากผู้ปฏิบัติในสิการทำความเข้าใจไม่ดีแล้ว
ทำมนสิการเข้าไว้ในใจไม่ถูกแล้ว ก็เข้าใจว่า เพื่อจะให้สบาย
เพื่อหาความสุขในอิริยาบถใหม่ อย่างนี้ใช้ไม่ได้
เพราะเป็นที่อาศัยของกิเลสและตัณหา ไม่สามารถจะกันกิเลสได้ จะต้องทำความเข้าใจว่า
เปลี่ยนไปเพื่อแก้ทุกข์ ไม่ใช่ว่าเพื่อความสุข ถ้าหากเข้าใจผิดแง่ไป
ไม่ถูกนิดเดียว กิเลสก็เข้าอาศัยในความรู้สึกทันที ถ้าไม่เข้าใจมนสิการ
ไม่เข้าใจทำความรู้สึกละก็ กิเลสจะเข้าอาศัยทันที
พระสุนทร
:- เมื่อกล่าวถึงความจริงของธรรมชาติ การที่จะเปลี่ยนกันไปแต่ละครั้งแต่ละคราวนี้
มันต้องเปลี่ยนไปด้วยทุกข์บีบคั้น มีทุกขเวทนาบ้าง มีทุกข์จำเป็นบ้าง
อุบาสิกาแนบ
:- การเปลี่ยนอิริยาบถนั้น มีสองอย่าง เปลี่ยนด้วยทุกข์บังคับให้เปลี่ยนอย่างหนึ่ง
เปลี่ยนไปด้วยกิเลส คือความต้องการจะเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่ง เช่น
เพราะเราต้องการเดิน เราก็ใช้อิริยาบถเดิน เป็นต้น
พระสุนทร
:- สมมติว่าลักษณะที่เรานั่งนี้น่ะ มันเมื่อยเต็มที เกิดทุกขเวทนา
เราเปลี่ยนไปเพื่อบรรเทาทุกข์ เราก็เดินไป
อุบาสิกาแนบ
:- อันนี้ไม่เป็นไร ไม่เป็นกิเลส เพรารู้สึกว่า เราเดินเพื่อแก้ทุกข์
พระสุนทร
:- ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าเราเดินเพื่ออยากให้กายปวด หายเมื่อย
อุบาสิกาแนบ
:- เพื่อให้สบาย เช่นนี้ ไม่ได้เป็นกิเลส
พระสุนทร
:- ไปเดินเพื่อให้หายทุกข์อันนั้น เพื่อให้มีความสุข
เพื่อให้ความสุขเกิดขึ้นอย่างนี้
อุบาสิกาแนบ
:- อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้อีก ถ้าอย่างนี้กิเลสจะต้องเข้าอาศัยในความรู้สึกนั้นทันที
พระประสาท
:- อย่างนั้นก็หมายความว่า เรื่องนี้จะผิด หรือจะถูก ก็ขึ้นอยู่กับมนสิการนั้นเอง
อุบาสิกาแนบ
:- มนสิการสำคัญมาก
พระประสาท
:- ถ้ามนสิการผิด ก็เห็นเป็นว่า อยากสบาย หาความสบายไป
อุบาสิกาแนบ
:- การมนสิการ จะผิดหรือจะถูกก็อยู่ที่ความเข้าใจ ถ้าเข้าใจถูกแล้ว
ก็มนสิการถูกว่า เวลานั้นควรจะมนสิการอย่างนั้น ควรทำความรู้สึกอย่างนั้น
อันนี้จะต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจ
พระประสาท
:- สำหรับเรื่องการที่จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ก็ให้รู้เหตุนี้ สรุปแล้วก็ว่า
ให้มองดูถึงความไม่สบาย หรือความทุกข์นั้นเอง ว่ามันเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยน
ถ้ามนสิการรู้อย่างนี้ กิเลสก็จะไม่เข้าอาศัยในการเปลี่ยนนั้น ๆ เลย
อุบาสิกาแนบ
:- อิริยาบถใหม่นี้สำคัญ เห็นทุกข์ยากกว่าอิริยาบถเก่า ถ้ามนสิการไม่ดีแล้ว
จะไม่เห็นเลย
พระสุนทร
:- อิริยาบถใหม่ที่คุณโยมว่าจะเห็นทุกข์ยากนั้น ขอถามว่า ทุกข์อันนี้เป็นทุกข์อะไร
อุบาสิกาแนบ
:- ตามธรรมดาของการเปลี่ยนอิริยาบถ ทุกข์ที่เกิดจากอิริยาบถเก่านั้น เป็นทุกขเวทนา
มันปรากฏให้เห็นชัดเจน ใคร ๆ ต้องทราบทั้งนั้นว่า มันปวดเมื่อย มันเป็นทุกข์ อย่างนี้
แต่ว่าเมื่อเปลี่ยนไปแล้วก็มองไม่เห็น ทุกขเวทนาไม่มี
พระสุนทร
:- พอเปลี่ยนไปเป็นอิริยาบถใหม่แล้ว ทุกขเวทนาก็ไม่มี คือหายไป
อุบาสิกาแนบ
:- ความพอใจในอิริยาบถใหม่ก็จะต้องเกิดขึ้น ฉะนั้นจึงยากที่กิเลสจะไม่อาศัย
เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องมนสิการว่า การที่เราเปลี่ยนไปนี้ เพื่อจะแก้ทุกข์
การแก้ทุกข์ไม่ใช่เป็นความสุข ฉะนั้นกิเลสคือความพอใจ จึงเข้าอาศัยไม่ได้
เหมือนกับเรากินยานั่นแหละ
เช่นกินยาแก้ปวด (แก้ทุกข์เวทนา) เราจะยินดีในการกินยา ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันใด
การเปลี่ยนอิริยาบถใหม่เพื่อแก้ทุกขเวทนา คือความปวดเมื่อย เราก็ย่อมไม่ยินดี
(ในการเปลี่ยน) ฉันนั้น
อิริยาบถเก่าเหมือนคนเจ็บ
การเปลี่ยนอิริยาบถใหม่ เหมือนการพยาบาลคนที่เจ็บหนัก การพยาบาลคนไข้หนัก
เราควรจะเห็นว่าเป็นสุขหรือ การพยาบาลคนไข้หนัก ต้องอุ้มลุก อุ้มนั่ง ให้นอน
ให้ยืน ให้เดิน ให้กินข้าว ให้ถ่ายอุจจาระ ให้ถ่ายปัสสาวะ
ต้องระมัดระวังพยาบาลอยู่ตลอดเวลา ควรหรือที่เราจะเห็นว่าการพยาบาลเป็นความสุข
การพยาบาลเป็นทุกข์คนละอย่างกับทุกข์ของคนเจ็บ คนเจ็บได้แก่อิริยาบถเก่า
เป็นทุกขเวทนา มีความปวดเมื่อยเป็นต้น การพยาบาล
ซึ่งได้แก่การเปลี่ยนอิริยาบถใหม่เกิดขึ้น เพื่อแก้ทุกขเวทนา เป็นสังขารทุกข์
ได้แก่การที่ต้องแก้ไขเยียวยาอิริยาบถต่าง ๆ ให้พ้นจากทุกข์เวทนาอยู่เรื่อย ๆ
ดังนี้ มันคนละทุกข์กัน สังขารทุกข์ สูงกว่า สุขุมกว่าทุกขเวทนา ถ้ามนสิการไม่ดี
จะไม่เห็น เห็นไม่ได้ เรียกว่าดูยากกว่า ต้องเข้าใจ ต้องโยนิโสมนสิการให้ถูกต้อง
ตามหลักท่านบอกไว้แล้วว่า การกำหนดอิริยาบถนี้
เป็นประโยชน์เพื่อจะให้เห็นทุกข์ใช่หรือไม่ สัตว์ที่ไม่เห็นทุกข์
เพราะว่าไม่ได้กำหนดอิริยาบถ
พระสุนทร
:- ที่บอกว่าอิริยาบถเก่าเป็นเหตุสร้างทุกข์
และอิริยาบถใหม่เป็นตัวปิดบังทุกข์นั้น หมายถึงว่า อิริยาบถใหม่ที่เกิดขึ้นนี้
ไปบรรเทาทุกขเวทนาเสีย ทุกขเวทนาจึงหมดไป
เราจึงไม่เห็นว่าอิริยาบถใหม่นั้นเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดกิเลสได้เพราะเราพิจารณาไม่แยบคาย
พระประสาท
:- ที่บอกว่าจะต้องใช้อิริยาบถ หรือ
จะต้องเปลี่ยนอิริยาบถก็ให้รู้เหตุจำเป็นนั้นเสียก่อน ไม่ให้เปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ
ขอคำอธิบาย
อุบาสิกาแนบ
:- อันนี้ก็เพื่อกันกิเลสที่จะเกิดขึ้นคือ
ความยินดีที่จะเกดขึ้นอาศัยในอิริยาบถใหม่
พระประสาท
:- ที่บอกว่าอย่าทำให้ผิดปกติ หมายความว่า ไม่ให้ไปเกร็ง ไปสร้าง ไปนึกใช่ไหม
และที่ว่าไม่ให้ระวัง หรือประคองอิริยาบถในระหว่างที่ปฏิบัตินั้น
หมายความว่าอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- คือว่าไม่ให้เกร็ง หรือไม่ให้ระวัง บางท่านเวลาเดินใช้ความระมัดระวังมากเกินควร
เวลาจะยกก็ต้องค่อย ๆ ย่างๆป กว่าจะย่างได้แต่ละก้าว ช้ามาก อันนี้ใช้ไม่ได้
พระประสาท
:- อย่างนั้นการที่ระวัง หรือว่าประคองมากเกินไปในอิริยาบถก็ใช้ไม่ได้ คือผิดปกติ
ตามที่กล่าวแล้วในข้อ ๘ แต่ทีนี้ไม่ได้หมายความว่า
ห้ามไม่ให้ระวังเกี่ยวกับการมีสติสังวรอยู่อย่างนั้น ใช่หรือไม่
อุบาสิกาแนบ
:- ถูกแล้ว ไม่ใช่เช่นนั้น ในที่นี้หมายแต่เพียงว่า
ให้ระวังใจอย่าไปคิดประคองสร้างอิริยาบถให้มากเกินไป การระวังใจนั้น
เขาระวังเพียงไม่ให้อภิชฌาและโทมนัสเข้าอาศัยในความรู้สึกขณะนั้นเท่านั้น
ไม่ใช่ระวังอิริยาบถ
พระสุนทร
:- ถ้าหากว่าประคองเกินไปก็เกิดเป็นเกร็ง ตัวอภิชฌาก็จะเข้า
หรือความต้องการก็จะเข้าอาศัยในความรู้สึกขณะนั้น
อุบาสิกาแนบ
:- ตามหลักของมหาสติปัฏฐานนั้น ก็เพื่อจะทำลายอภิชฌาและโทมนัส
)นั้นจึงต้องระวังไม่ให้เข้า ตามธรรมดา อิริยาบถเก่านี้เป็นเหตุให้เกิดโทมนัส
คือความไม่พอใจ ไม่อยากให้เพราะปวดเมื่อย
และอิริยาบถใหม่ก็เป็นเหตุให้เกิดอภิชฌาคือความพอใจ เพราะรู้สึกสบาย
มีสลับกันอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ไป
พระประสาท
:- อิริยาบถใหม่มันสบายขึ้นมาก็ชักชอบ
อุบาสิกาแนบ
:- พอใจในอิริยาบถใหม่ จึงต้องการเปลี่ยนอย่างนี้
ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัตินี้ไม่มีโยนิโสมนสิการที่ถูกต้องแล้ว
ก็จะมีอภิชฌาปละโทมนัสติดตามไปเสมอ เอาออกไปไม่ได้เลย
พระประสาท
:- เพราะฉะนั้น จึงห้ามไม่ให้ระวัง หรือประคองอิริยาบถมากเกินไป ข้อต่อไปที่ว่า
เวลาเข้ากรรมฐาน อย่าทำเพื่อต้องการ ต้องทำเพราะจำเป็น เช่นกินข้าว
อาบน้ำอย่างนี้เป็นต้น นี่หมายความว่าอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- เช่นกินข้าวเพราะอยากกิน
พระประสาท
:- ห้ามไม่ให้อยากกิน
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ใช่เช่นนั้น ต้องกิน เพราะหิว เพราะจำเป็น ให้พิจารณาเสียก่อน
ต้องพิจารณาเสียก่อนจึงค่อยกิน บางทีอยากกินก็กิน ไม่ทันหิว ยังไม่ทันจำเป็นก็กิน
อย่างนี้ อาบน้ำก็เหมือนกัน อยากอาบ อยากเดิน อยากนั่ง อย่างนี้ บางทีนั่ง ๆ อยู่
นึกอยากจะเดิน ก็เดินเสียแล้ว ทำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องให้จำเป็นจึงทำอย่างนั้น
เรียวกว่าทำเพราะต้องการเสียแล้ว ให้ทำเฉพาะที่จำเป็น ใช้อิริยาบถเฉพาะที่จำเป็น
เช่นจะต้องอาบน้ำ ต้องกินข้าว ต้องถ่ายอุจจาระ ต้องถ่ายปัสสาวะ
พวกนี้จำเป็นทั้งนั้น
พระสุนทร
:- เช่นอย่างว่า เราอยู่ในห้องนี้ มีแมลงมากวน หรือว่ามีผงรกอยู่อย่างนี้
การที่เราจะต้องทำความสะอาดนี้ เป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่
อุบาสิกาแนบ
:- จำเป็น คือให้รู้เหตุเสียก่อนว่า ถ้าไม่ทำแล้วจะเกิดทุกข์ เกิดความไม่สบาย
จำเป็นต้องทำ
พระสุนทร
:- แต่ให้พิจารณาโดยเหตุผลว่า สิ่งเหล่านี้ควรทำหรือไม่
อุบาสิกาแนบ
:- บางคนเข้ากรรมฐาน เอาหนังสือไปอ่าน อย่างนี้เรียกว่าไม่จำเป็น ให้ทำเพราะจำเป็น
ไม่ใช่ทำด้วยความต้องการ ถ้าทำด้วยความต้องการแล้ว กิเลสก็จะเข้าไปอาศัย
จะกันกิเลสออกไม่ได้เลย
พระสุนทร
:- สมมติว่าเราอยู่ในห้องนี้ กำลังทำกรรมฐานอยู่ เกิดความลังเลและสงสัย ไม่เข้าใจ
แต่เรามีหนังสืออยู่ เราก็จำเป็นที่จะดูให้รู้ เพื่อจะให้เข้าใจให้ถูก
ปฏิบัติได้ถูกอย่างนี้ จำเป็นหรือไม่
อุบาสิกาแนบ
:- ถ้าสงสัยอย่างนั้น เวลานั้น จะสงสัยว่าอย่างไร ยกตัวอย่างความสงสัยสักนิด
พระสุนทร
:- เช่นสงสัยในอิริยาบถที่เรากำหนดนี้ว่ามันผิดหรือถูก
อุบาสิกาแนบ
:- ที่ถูกแล้ว ผู้เข้ากรรมฐานจะต้องรู้ก่อนแล้วว่า ทางที่ถูกนี้มีอย่างไร
ทำความรู้สึกอย่างไร จึงจะถูก ทำความรู้สึกอย่างไร จึงจะผิด
พระสุนทร
:- สรุปว่า นอกจากที่เราจะเฝ้าดูปัจจุบันของรูปนามเท่านั้น
สิ่งอื่นนอกนั้นเป็นสิ่งที่ควรละ หรือควรเลิก ไม่ควรทำ
อุบาสิกาแนบ
:- แม้จะดูรูปนาม ก็ให้ดูรูปนามที่จำเป็น
บางท่านอยากจะลุกขึ้นเดินกรรมฐานเพื่อจะให้เห็นรูปเห็นนาม เพื่อจะให้เกิดปัญญา
อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เข้าใจอย่างนี้ไม่ถูก เมื่อจำเป็นจะต้องเดินแล้จึงเดิน
อย่างนี้จึงค่อยดูรูปเดินนั้น ตามธรรมดาแล้ว ผู้เข้ากรรมฐานไม่ได้ละกิเลสอย่างหยาบ
เพราะกิเลสอย่างหยาบนั้นไม่มีในขณะทำกรรมฐาน ส่วนกิเลสอย่างละเอียดนั้น
อาศัยอยู่ตามอิริยาบถ อาศัยอยู่ตามนามรูป ขณะนั่ง นอน ยืน เดิน ขณะเห็น
ขณะได้ยินทุกอย่าง เราต้องละกิเลส อันนี้ต่างหาก
พระประสาท
:- สรุปว่าก่อนจะทำ จะต้องรู้เหตุจำเป็นเสียก่อน หมายความว่า อิริยาบถต่าง ๆ เช่น
อาบน้ำ ล้างหน้า อุจจาระ ปัสสาวะอย่างนี้ จะต้องรู้เหตุเสียก่อนว่า
ถ้าไม่ทำแล้วไม่สบาย เป็นทุกข์
ไม่ทำไม่ได้ จำเป็น นี่เรียกว่ารู้เหตุของความจำเป็น
เมื่อกำหนดรู้อย่างนี้แล้ว จึงค่อยทำ
อุบาสิกาแนบ
:- เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะรับประทานอาหารนี้ จะต้องทราบเสียก่อนว่า
จะรับประทานเพื่ออะไร ถ้าหากไม่ทราบว่า จะรับประทานเพื่ออะไรแล้ว
เวลาที่ลิ้นกับรสกระทบกันแล้ว ก็จะกันกิเลสไม่ได้ กันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เราจำเป็นจะต้องพิจารณาเสียก่อน
อันนี้เป็นความสำคัญมาก ในขณะเคี้ยว ในขณะกลืนนั้น ถึงจะไม่รู้ก็ไม่เป็นไร
เพราะว่าเมื่อเรารู้ก่อน เข้าใจก่อนนี่เอง
เป็นเหตุให้กันกิเลสได้ตลอดไปถึงในเวลาที่รับประทานอาหาร เวลาที่เคี้ยว
เวลาที่กลืนด้วย เพราะว่าเมื่อจำเป็นต้องกินแล้วเคี้ยวก็เป็นความจำเป็นที่ต้องเคี้ยว
กลืนก็เป้นความจำเป็นที่ต้องกลืน
ความจำเป็นจะติดตามไปในอิริยาบถทั้งหลายเหล่านั้นเองโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น
กิเลสก็จะเข้าอาศัยในอิริยาบถเหล่านั้นไม่ได้เลย
พระประสาท
:- ตรงนี้อาตมายังไม่เข้าใจ คือว่า เมื่อไปพิจารณาอย่างนั้น
จะไม่เป็นการพิจารณามากไปหรือ
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ใช่พิจารณามาก นี่เรารู้เหตุที่ถูกต้องว่า ความจริงเราต้องกิน
นี่เป็นความจริง เพื่อจะให้รู้เหตุที่ถูกต้อง จะได้ไม่เข้าเจว่าอยากกิน
ถ้าหากว่าเราจำเป็นต้องกินแล้ว ความอยากกินจะเกิดไม่ได้
พระประสาท
:- แล้วระหว่างที่พิจารณาอยู่อย่างนี้ จะกำหนดอะไรเป็นรูปเป็นนามกัน
จะไปกำหนดเรื่องราวหรืออย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ต้องกำหนด
พระประสาท
:- หมายความว่า รู้เหตุตรงนี้แล้วก็จะเป็นผลต่อไปแก่การกำหนดเอง
พระสุนทร
:- เช่นเดียวกับเราจะรับประทานอาหาร จะต้องเกิดความรู้สึกหิวขึ้นมาก่อน
เราจึงจะรับประทาน
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่หิวก็ได้ เช่นพระอย่างนี้ เป็นพระภิกษุ ถึงเวลาแล้วไม่หิวก็ต้องรับประทาน
อันนี้ก็รับประทานเพราะจำเป็นเหมือนกัน ถ้าไม่รับประทานตอนนี้ พอเลยเวลาไป
รับประทานไม่ได้แล้ว ความหิวก็จะต้องเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จึงเป็นการกินเพื่อกันความหิว
กันทุกข์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกเหมือนกัน
พระสุนทร
:- มิใช่ว่าเรานึกอยากกินแล้วก็ไปกิน
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ใช่ว่า ไม่อยากกินก็ไม่กินอย่างนี้ หรือว่าไม่อร่อยก็ไม่กิน
ต้องอร่อยจึงจะกิน อย่างนี้ไม่ได้ คนเข้ากรรมฐานต้องกินด้วยจำเป็น
อร่อยหรือไม่อร่อยก็จำเป็นต้องกิน ไม่กินไม่ได้ ถ้ากินเพื่อกันหิวแล้ว
ความอร่อยหรือไม่อร่อยนี้ไม่สำคัญเลย จะไม่เกิดขึ้นเลย
พระสุนทร
:- เป็นสัปปายะสำคัญอันหนึ่งเหมือนกัน สำหรับผู้ปฏิบัติ เรื่องอาหารนี้
ถ้าหากว่ารับประทานมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็ไม่เป็นที่สัปปายะ
อุบาสิกาแนบ
:- อันนี้ตัวเองก็จะต้องเข้าใจ กินมากเกินไป หินน้อยเกินไปนั้นเกี่ยวกับความพอใจ
ความพอใจเกิดแล้ว รับประทานได้มาก ถ้าไม่พอใจ หรือไม่อร่อยก็รับประทานได้น้อย
พระประสาท
:- ข้อ ๑๒ ที่ว่า ห้ามรู้สึกว่าทำกรรมฐาน ตรงนี้หมายความว่าอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ให้รู้สึกว่า เรานั่งกรรมฐานเพราะจะต้องนั่งกรรมฐาน ไม่ใช่อย่างนั้น
การที่เราจะเดินเพื่อต้องการทำกรรมฐาน อันนี้ใช้ไม่ได้ ที่เราเดิน
เพราะจำเป็นจะต้องเดินต่างหาก ไม่ใช่เราเดินเพราะว่าเราต้องการจะเดิน
ไม่ใช่เราเดินเพราะเราต้องการจะทำกรรมฐาน การที่เราจะเดินเพื่อต้องการทำกรรมฐาน
การที่เราจะนั่งเพื่อต้องการทำกรรมฐาน อันนี้ใช้ไม่ได้ ความจริงถึงไม่ทำกรรมฐาน
เราก็จะต้องเดิน คนเราเป็นอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงห้ามไม่ให้เดินเพื่อกรรมฐาน
เพราะเป็นการเดินเพื่อความต้องการ อย่าไปใส่ความรู้สึกตัวเองว่า
เวลานี้เราเป็นคนกำลังปฏิบัติกรรมฐาน เวลาเรานั่ง เราจะต้องนั่งอย่างนี้
ต้องนั่งขัดสมาธิ ต้องเอามือซ้ายทับมือขวา หรือ มือขวาทับมือซ้าย อะไรอย่างนี้
ไม่ใช่อย่างนั้น
พระสุนทร
:- ข้อนี้ก็หมายถึงว่า สำรวม หรือระวังใจเกินไป
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ใช่ระวัง นั่นคือความต้องการทีเดียว เป็นการอยากนั่งกรรมฐานทีเดียว
จะนั่งกรรมฐานเพื่ออะไร นั่งกรรมฐานเพื่อต้องการอะไรอย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่ ไม่ใช่นั่งเพื่อแก้ทุกข์แน่นอน
พระประสาท
:- หมายความว่า ห้ามไม่ให้รู้สึกตัวเองว่า ทำกรรมฐานอยู่ ด้วยเกรงว่าจะไป
รักษาแบบฉบับกรรมฐานมากเกินไป จึงเลยเป็นเหตุให้เป็นความต้องการไป
เป็นเหตุให้ความต้องการเกิดขึ้น
อุบาสิกาแนบ
:- ตอนที่เข้าไปพิจารณานั้นเองแหละ เป็นตัวทำกรรมฐานอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปอยากทำกรรมฐานอีก ไม่ต้องไปอยากทำกรรมฐานอีก เพราะการทำกรรมฐานนี้
ต้องการกำจัดความยินดียินร้ายใช่หรือไม่ ที่เรียกว่าทำกรรมฐาน
ไม่ใช่ว่าไปนั่งทำกรรมฐานเพื่อต้องการ อย่างนี้ไม่ได้
พระประสาท
:- ข้อ ๑๓. เมื่อจะกำหนดรูปนามอันใดก็ตาม อย่าทำความรู้สึกว่า ดูเพื่อแก้ไข
เช่นจะดูให้เกิดขึ้น จะดูให้หมด หรือดับไปอะไรอย่างนี้
ที่ไม่ให้กำหนดรูปนามอย่างที่ว่านี้ ไม่ให้ทำความรู้สึกว่ารูปนามเกิดขึ้น
รูปนามดับไป เช่นนี้ แล้วก็จะให้ดูอะไร เมื่อคุณโยมไม่ให้ดูอย่างนี้
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ใช่ว่ารูปนามเกิดขึ้น รูปนามดับไป คือว่าอย่างนี้ เหมือนอย่างว่า
อารมณ์อะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่พอใจ เช่นอย่างนิวรณ์ ความฟุ้งซ่านเป็นต้น เกิดขึ้น
เราก็ไปกำหนดดูนามที่ฟุ้งนั้น แต่ว่ากำหนดเพื่อจะให้ฟุ้งนั้นหมดไป อย่างนี้
ต้องการกำหนดเพื่อให้หมดไป ขณะที่กำหนดอยู่นั่นแหละ ความต้องการก็อาศัยเข้าไปว่า
ให้มันหมดไป ให้มันหายไป อย่างนี้ใช้ไม่ได้ อย่าดุเพื่อให้หมดไป
หรือว่าดูเพื่อให้วิปัสสนาเกิดขึ้น หรือว่าดูเพื่อให้เห็นรูปนามให้สมาธิเกิดขึ้น
ให้ความฟุ้งหมดไปอย่างนี้ไม่ได้
พระสุนทร
:- อย่างนี้เรียกว่า ทำเพื่อความต้องการใช่ไหม
อุบาสิกาแนบ
:- ใช่ ดูอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าดุอย่างนี้แล้ว ก็จะไม่เห็นอนัตตา เพราะอะไร
เพราะความรู้สึกว่า เรามีอำนาจที่จะทำให้หมดไปได้ ที่จะทำให้เกิดขึ้นได้
ความรู้สึกมีอำนาจจะเข้าไปอาศัยทีเดียว เมื่อความรู้สึกเช่นนั้น เข้าไปอาศัยแล้ว
ความรู้สึกที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้อยู่ในอำนาจก็ไม่มี เกิดไม่ได้
เราะรู้สึกว่า ในนั้นมีอำนาจบังคับได้ จึงได้จะบังคับให้มันหมดไป อย่างนี้
อันนี้ไม่ได้ ความรู้สึกเช่นนี้จะไม่เห็นอนัตตาเลย
ซึ่งความจริงมันไม่ได้อยู่ในอำนาจ การจะหมดหรือการจะไม่หมด
หรือสิ่งใดเกิดขึ้นและไม่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่อยู่ที่อำนาจความต้องการของเรา
มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
พระสุนทร
:- เมื่อมีเหตุมีปัจจัย สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัย
สิ่งนั้นก็หมดไปเอง
พระประสาท
:- รวมความว่า ห้ามไม่ให้ไปดูเพื่อแก้ไข เช่นฟุ้งเกิดขึ้น
อย่าไปดูเพื่อให้ฟุ้งหายอย่างนี้ และที่บอกว่า ต้องทำใจให้เหมือนกับดูละคร
อย่าไปหัดละคร หมายความว่าอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- การดูละครน่ะ เราไม่มีหน้าที่จะไปหัด ตัวนี้ให้รำอย่างนี้ ตัวนี้ไม่ต้องการ
ใช้บทอย่างนี้ไม่ได้ ไม่เอา บทนี้ฉันไม่ชอบ ให้รำใหม่ หรือใช้บทใหม่
ละครตัวนี้ออกมาไม่พอใจ ให้เข้าโรงไปเสีย อย่างนี้เป็นต้น
พระประสาท
:- ถ้าหากว่าทำอย่างนี้ ก็อยู่ในประเภทที่ว่ารู้สึก หรือดูเพื่อแก้ไขไปเสียแล้ว
ไม่ให้ดูเพื่อแก้ไข ให้ดูเหมือนกับว่าดูละครอย่างนี้ หมายความว่าอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- คือว่าเมื่อบทของใครออกมา ถึงบทของใครที่จะออกมาปรากฏ เราก็ดูเท่านั้นเอง
มีหน้าที่ดู ก็จะรู้ความจริงว่า อ้อ ตัวนี้มีบทบาทอย่างนี้ มีความจริงอย่างนี้
มีลักษณะอย่างนี้ แต่ถ้าเราไปแก้ไขเสีย ก็จะไม่รู้ความจริง
พระประสาท
:- ทีนี้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับนามฟุ้งที่เกิดขึ้นในเวลาปฏิบัติ
อุบาสิกาแนบ
:- บางครั้งความพอใจ ความไม่พอใจเกิดขึ้น พอรู้เข้าก็กำหนดเสียแล้ว กำหนด ๆ
เพื่อให้มันหายไป อย่างนี้ก้ใช้ไม่ได้เช่นเดียวกัน
พระสุนทร
:- สำหรับผู้ที่เข้ามาใหม่ ๆ นี้ มักรู้สึกง่วงเป็นกำลัง ก็อยากจะให้หายง่วง
เมื่อเข้าไปนาน ๆ แล้วนอนไม่หลับ ก็อยากจะให้นอนหลับ เราจะทำอย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- เรามีหน้าที่ดูเท่านั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะอยู่ไม่ได้ สิ่งใดเกิดขึ้น
สิ่งนั้นก็จะต้องหมดไปเอง ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะต้องไปจัดการ เพราะเราต้องการแต่เพียงจะรู้ความจริงของสิ่งนั้นเท่านั้น
ไม่ใช่มีหน้าที่ไปแก้ไขสิ่งนั้น
พระประสาท
:- ให้กำหนดดูอยู่เท่านั้นเอง อย่าไปบังคับ อย่าไปต้องการอะไรทั้งหมด
ไม่ให้ไปทำอย่างนั้น ถ้าไปทำแล้วย่อมผิดทางจากที่ปฏิบัตินี้
อุบาสิกาแนบ
:- เมื่อผิดทางแล้ว ก็ไม่ใช่มัชฌิมา
พระประสาท
:- คราวนี้ข้อสุดท้าย ผู้ทำวิปัสสนาอย่าตั้งใจหรือให้จิตสงบ เพื่อจะได้สมาธิ
ก็สมาธิไม่เป็นอุปกรณ์แก่การปฏิบัติดีดอกหรือ
อุบาสิกาแนบ
:- สมาธิเป็นอุปกรณ์แก่การปฏิบัติ ในขณะที่เราปฏิบัติถูกต้องนั่นเอง
สมาธิก็จะเกิดขึ้น ผู้ทำวิปัสสนาจะต้องกำหนดอารมณ์ปัจจุบันใช่หรือไม่
การที่เราได้อารมณ์ปัจจุบันนั้นเอง จะเป็นเหตุให้เกิดสมาธิอย่างนี้
สมาธิจะเกิดขึ้นเอง โดยไม่ใช่ว่าเราต้องการ ถ้าหากว่าเราต้องการสมาธิ
เมื่อสมาธิเกิดขึ้น ก้เป้นความพอใจ ตัณหาและทิฏฐิจะเข้าไปอาศัยในสมาธิทันทีทีเดียว
และก็จะทำความสำคัญผิดเกิดขึ้นในสมาธินั้นว่า สมาธินั้นมีความสุขจริง
สมาธินี้ดีจริง อย่างนี้ความพอใจก็จะเกิดขึ้น อันนี้ไม่ได้
เมื่อความพอใจเกิดขึ้นแล้ว ก็จะไม่เห็นว่าสิ่งนั้นไม่ดี
สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นก็ดับไป อย่างนี้ไม่เห็นทีเดียว จะไม่เห็นเลย
พระประสาท
:- ตกลงว่า ไม่ใช่ต้องการความสงบ แล้วจะมีความต้องการอะไรในการกระทำ
อุบาสิกาแนบ
:- ไม่ให้ต้องการ เอาความต้องการออก ทำเพื่อเอาความต้องการออก
พระประสาท
:- กลับเป็นอย่างนั้นไป ทำเพื่อไม่ให้ต้องการ หรือ ไม่ใช่เพื่อต้องการ
อุบาสิกาแนบ
:- เพื่อทำลายความต้องการทีเดียว
พระสุนทร
:- หมายถึงว่า ไปทำไม่ต้องการจะเอาอะไร
อุบาสิกาแนบ
:- ที่ทำนี่ก็คือ กันความต้องการเท่านั้นแหละ
พระสุนทร
:- สิ่งที่ต้องการนั้นมีไหม สิ่งที่ต้องการเวลาที่เราไปทำนี่น่ะ
อุบาสิกาแนบ
:- ถูกแล้ว เราต้องการ มันมีอยู่ ที่เราต้องการน่ะ มีตั้งแต่แรกแล้ว เรามีความต้องการ
มีจุดหมายไว้แต่แรกแล้ว เมื่อเราทำน่ะ แต่ว่าเราต้องทำให้ถูก
แล้วสิ่งนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้
พระประสาท
:- เช่นว่า ต้องการจะดูเกิดดับ ต้องการจะดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อุบาสิกาแนบ
:- ทางวิปัสสนานี้น่ะ ถ้าเข้าใจให้ถูกแล้ว ตั้งแต่แรกทีเดียว
เราตั้งเข็มความต้องการไว้ ว่าจะทำเพื่อให้พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ ทำเพื่อสิ้นกิเลส
อย่างนี้ใช่หรือไม่ ทำเพื่ออย่างนี้ต่างหาก ไม่ใช่ทำเพื่ออย่างโน้น
ไม่ใช่ทำเพื่ออย่างนี้ เพราะฉะนั้นการพ้นทุกข์นี่จะต้องทำอย่างไร จะต้องรู้อะไร
จะต้องเห็นอะไร นั่นเป็นผลของการกระทำที่ถูกต้อง แล้วความจริงจะปรากฏขึ้นเอง
เมื่อเรารู้แล้วว่าทำเพื่อทำลายกิเลส ปัญหาจึงมีอยู่ว่า กิเลสนั้นคืออะไรเล่า
กิเลสนั้นคือความต้องการนี่เอง ซึ่งเป็นกิเลสทีสำคัญที่สุด
เราจะทำเพื่อการพ้นทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อต้องการอะไร
พระสุนทร
:- ทีนี้หากว่าก่อนที่จะเข้ากรรมฐาน เราตั้งใจผิด สมมติว่า เราตั้งใจเพื่อจะเอาบุญ
เพื่อจะให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเข้าใจว่ารูปนามของเรานี่น่ะ
ถ้าผู้ใดเข้าไปเห็นแล้ว จะได้บุญมากทีเดียว แล้วก็จะเกิดปัญญาด้วย ปัญญานี้ดีมาก
อะไรทำนองนี้
อุบาสิกาแนบ
:- เช่นนี้เรียกว่า ทำเพื่อความต้องการ ความจริงไม่ต้องการอะไรเลย
ต้องการแต่จะให้ผู้ทำวิปัสสนาเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ นับแต่นามรูปทุกชนิด
อารมณ์ทุกอย่าง ไม่มีสาระอะไรเลย ไม่เป็นสิ่งที่ควรต้องการเลย
นี่ต้องการจะให้เห็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะทำอะไรเพื่อต้องการละก็
ความต้องการอันเป็นกิเลสนั้นเองจะเข้าอาศัยอยู่ในอารมณ์นั้นเสมอไป
เอากิเลสออกมาไม่ได้เลย
พระประสาท
:- สมมติว่า ถ้ากำหนดไปแล้ว มันเกิดท้อแท้ขึ้นมา เช่นว่า
ขี้เกียจขึ้นมาเสียแล้วอยากจะออก เบื่ออะไรอย่างนี้ เรียกว่า
หมดศรัทธาอะไรอย่างนี้ จะมีวิธีแก้อย่างไรไหม
อุบาสิกาแนบ
:- อันนี้ต้องเป็นหน้าที่ของอาจารย์
ที่จะแนะนำให้เห็นประโยชน์ของการที่จะทำกรรมฐาน แล้วก็ให้เห็นทุกข์
ให้เห็นภัยของการที่ไม่ได้ทำกรรมฐาน ว่าเราจะต้องได้รับภัยอะไรบ้าง
เป็นหน้าที่ของอาจารย์
ที่จะอธิบายให้เห็นภัยที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์นี้
พระประสาท
:- หน้าที่ของโยคีเอง ไม่มีทางแก้หรืออย่างไร
อุบาสิกาแนบ
:- บางทีโยคีเข้าใจก็มี ถ้าโยคีเข้าใจ คือผู้ปฏิบัตินั้นเข้าใจว่า
เมื่อบังเกิดความท้อแท้ขึ้น ตัวก็จะต้องเข้าใจว่า การที่เรามาเข้ากรรมฐานนี้น่ะ
เพื่อจะเอาประโยชน์อะไร เพื่อให้เราพ้นจากทุกข์ใช่หรือไม่
ถ้าเราท้อแท้อยู่อย่างนี้ เราก็จะไม่พ้นจากทุกข์ เราจะไม่พ้นจากอบาย
เราจะไม่พ้นจากนรกเป็นต้น อย่างนี้แล้วเราก็จะต้องระลึกถึงว่า
ผู้ที่ท่านได้ล่วงทุกข์มาแล้วแต่ก่อนนี้ ท่านต้องใช้ความเพียร
ท่านต้องใช้ความอดทนทั้งนั้น เพราะความเพียร ความอดทนนี่แหละ จะเป็นทางที่พาให้เราล่วงทุกข์ได้
พ้นทุกข์ได้ อันนี้ก็ต้องเป็นโยนิโสมนสิการ คือความเข้าใจถูกต้องของผู้ปฏิบัติ
แต่ข้อสำคัญ ถ้าลงเห็นทุกข์แล้ว คนนั้นย่อมไม่ขี้เกียจ กลัว
เพราะว่าอยากจะพ้นทุกข์ สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่นี่ ต้องให้กำหนดวิธีที่ง่ายที่สุดคือ
กำหนดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้กำหนดกาย ได้แก่การกำหนดอิริยาบถทั้ง ๔ ได้ดีแล้ว
จึงค่อยให้เลื่อนไป เลื่อนไปกำหนดสัมปชัญญะ เลื่อนไปทางเห็น ทางได้ยินต่อ ๆ ไป
สำหรับนิวรณ์
กำหนดยาก ไม่ใช่ง่าย ท่านบอกว่าต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากจึงจะกำหนดนิวรณ์ได้
คนที่ไม่มีปัญญาแล้ว กำหนดไม่ได้ คือสู้ไม่ไหว สู้ไม่ได้เลย
แล้วก็ยากที่จะแลเห็นความจริง
ที่จริงนิวรณ์นี่น่ะ
ถ้าเราจะไม่กำหนดก็ได้ เราพยายามจับอารมณ์ปัจจุบันในอิริยาบถแล้ว
นิวรณ์ก็จะเข้ามาไม่ได้อยู่เอง นิวรณ์เข้า
เพราะอาศัยอารมณ์ที่เป็นอดีตและอนาคตเข้ามา ถ้าอารมณ์ปัจจุบันแล้ว ก็เป็นอันว่า
ปิดกั้นกระแสนิวรณ์เด็ดขาด เข้าไม่ได้เลย ในขณะที่เราฟุ้งขึ้นมา
หรือในขณะมี่เราคิดอะไร เราก็รู้ว่า อ้อ นี่จิตเราตกจากอารมณ์ปัจจุบันไปแล้ว
เราก็มากำหนดอารมณ์ที่เป็นปัจจุบันเสียใหม่ ความคิดนั้นก็จะหายไปเอง
ถ้าเราไปต่อสู้พยายามกำหนดนิวรณ์ให้หาย ถ้าหากว่านิวรณ์นั้นไม่หาย
เราก็จะเกิดความไม่พอใจขึ้นอย่างนี้ ถ้านิวรณ์นั้นหายตามที่เราต้องการ
เราก็จะเกิดอภิชฌาความพอใจขึ้นเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกำหนดนิวรณ์ก็ได้
ตลอดมานี้เราพูดกันแต่ในเรื่องของผู้ก่อนเข้ากรรมฐาน
ทีนี้เมื่อผู้นั้นเข้ากรรมฐานไปแล้ว อาจมีอารมณ์ตกไปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผู้เข้ากรรมฐานอาจไม่รู้ตัว หรืออาจเกิดสมาธิขึ้นมา
เพราะมีความเพียรแรงกล้าเกินไปอย่างนี้เป็นต้น
เหตุการณ์อย่างนี้อาจเกิดขึ้นแกผู้ปฏิบัติทั่วไป
เช่นนี้ก็เป็นเรื่องของอาจารย์ที่ควบคุมจะต้องทำความเข้าใจแบผู้ปฏิบัติต่อไป
ในขณะสอบอารมณ์ไม่ใช่ในระยะนี้
พระประสาท
:- อาตมาภาพขออนุโมทนาที่คุณโยมกล่าวให้ความสว่าง
ในการเตรียมตัวเพื่อประพฤติปฏิบัติต่อไป เป็นประโยชน์แก่อาตมภาพไม่ใช่น้อย
ตามที่คุณโยมได้ชี้แจงละเอียดลออมาตามลำดับ กุศลอันใดก็ตาม อาตมาภาพนับตั้งแต่บวช
ได้เรียน ประพฤติปฏิบัติหรืออบรมสั่งสอนในด้านปริยัติตามสมควรอย่างไร
เป็นไปในฝ่ายบริสุทธิ์แล้ว ตลอดถึงในปัจจุบันนี้ อนาคตข้างหน้าต่อไปอย่างไรก็ตาม
ขอให้คุณโยมแนบ มหานีรานน์ ได้มีส่วนในอานิสงส์ที่อาตมภาพได้บำเพ็ญมาแล้วนั้น ๆ
ด้วยจงทุกประการเทอญฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น