แนะแนวทางปฏิบัติวิปัสสนา โดย อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ (มีต่อ ๓)

ความสังเกตในขณะทำงาน
ในเวลาที่กำหนด ท่านต้องมีความสังเกตว่า ถูกต้องตรงกับที่อาจารย์สอนไหมว่า เวลานั่ง ให้ทำ อย่างไร ? เวลานั่ง ให้ดู รูปนั่ง หรือให้พิจารณารูปนั่ง ดูรูปนั่งนี่ดูในท่าของกายที่ตั้งอยู่ในท่านั้นเรียกว่า นั่ง ยืนก็อีกท่าเดินก็อีกท่าหนึ่ง นอนก็อีกท่าหนึ่ง เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ไปดูอาการที่นั่ง นอน ยืน เดิน ดูแล้วก็ต้องเอารูปนามที่อาจารย์สอนแล้วนี้ไปใช้ด้วย

เวลาดูนี่น่ะ ต้องรู้สึกด้วยว่า ดูรูปนั่ง คือ ต้องมีรูปติดเข้าไปด้วย ถ้านั่งเฉยๆ ไม่ได้ หรือดูว่า นั่งนี่ เวลานี้ นั่งเราก็รู้อยู่ว่านั่งเท่านั้นไม่ได้ ต้องมีรูปด้วย ต้องมีรูปติดเข้าไปด้วย รูปเฉยๆ ก็ไม่ได้ รู้ว่ารูปนั่งนี้เป็นรูป เราก็ดูรูปอย่างนี้ แต่ไม่มีนั่งก็ไม่ได้ เพราะว่า รูปนั่งกับรูปนอนนี้น่ะมันคนละรูป มันคนละอัน เช่น ตัวหนังสือนี้ เราเห็นเราก็บอกหนังสือ รู้แล้วว่า มันเป็นหนังสือ แต่ว่า ตัวอะไรเล่า ก. หรือ ข. เล่า มันไม่เหมือนกันนี่ ถ้าเราไม่รู้ว่า ก. ไก่ มีลักษณะอย่างไร ข.ไข่ มีลักษณะอย่างไร เราจะอ่านหนังสือไม่ออก เพราะว่ามันคนละตัวกัน เพราะฉะนั้น มีความสำคัญมากทีเดียว นี่ก็เหมือนกับอาจารย์ให้หนังสือไปดู ให้หนังสือไปอ่าน ไม่ใช้ให้ไปแล้วก็เอาไว้ที่อาจารย์ อาจารย์สอนเสร็จแล้วรูปนามก็คงอยู่ที่สอนนั่นแหละได้ ต้องเอาไปใช้ 

เพราะฉะนั้น ต้องคอยสังเกต สังเกตนี่เป็นตัวศึกษา พอกำหนดรูปนั่งลงไป ต้องสังเกตว่า ถูกตรงกับที่อาจารย์บอกไหมว่า ให้ทำความรู้สึกตัวว่า ดูรูปนั่ง ดูรูปเฉยๆ ไม่ได้ เพราะว่า รูปนี่มีหลายอย่าง ดูรูปเฉยๆ นั่งก็เป็นรูป นอนก็เป็นรูป ประเดี๋ยวก็รูปมันจะเป็นอันเดียวกันอย่างนี้ไม่ได้ อันนี้ไม่ได้แน่ สำคัญมากทีเดียว สำหรับตอนใหม่ๆ นี้ก็ไม่มีอะไรสำคัญ สำคัญแต่เพียงว่า ทำความรู้สึกตัวว่า ดูรูปนั่ง เท่านั้นเอง

ฟุ้ง
ตามธรรมดาจิตเราไม่เคยอบรม มันก็เที่ยวกวัดแกว่งไป พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อะไรจะเร็วเท่ากับจิตใจไม่มี ไวที่สุดเลย เพราะฉะนั้น เป็นของอบรมยากและก็อยู่อยากด้วย ทีนี้เวลาที่เรากำหนดในรูปนั่งนี่ประเดี๋ยวมันก็ไปแล้ว ที่แรกก็รู้อยู่ว่าดูรูปนั่ง ประเดี๋ยวก็เผลอแพล็บไป ออกไปแล้ว ขณะนี้จิตใจมันก็เที่ยวอยู่ทั้งวันทั้งคืนเหมือนกัน แต่ว่า เราไม่ดูมันก็เหมือนกับว่า มันไม่ไปไหน แต่พอเราไปเข้ากรรมฐาน พอเราจะไปจับมันเท่านั้นแหละ ไปแพล็บ ไปแพล็บ นี่เพราะว่าเราดูเข้า เราจึงเห็นว่า มันไป ฟุ้งนี่เป็นอาการของจิตใจ เป็นนามธรรม เรียกว่า "นามฟุ้ง" ธรรมชาติของจิตย่อมคิดฟุ้งไปต่างๆ

เมื่อไปแล้วก็แล้วกัน ไม่ต้องไปสนใจ แล้วใจก็อย่าไปนึกว่า จะต้องอยู่ที่นี่ไม่ให้มันฟุ้ง ไม่ให้มันไป ไม่ให้มันฟุ้งไปที่อื่น จะให้มันอยู่ที่นี่ไม่ได้ ทำความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ ทำความรู้สึกอย่างนี้มันเป็นที่อาศัยของกิเลสเหมือนกัน พอมันไปแล้วก็ให้ทำความรู้สึกอย่างเดียวว่า นี่หลุดไปแล้ว หลุดไปแล้วจากนั่ง ให้ดูก็ไม่ดูเมื่อไม่ดูก็กลับมาให้มันดูใหม่ ไปอีกก็ช่างก็กลับมาใหม่อย่าไปไม่พอใจมัน มันจะชักเกิดความไม่พอใจ พอเกิดความไม่พอใจแล้วยิ่งจะฟุ้งใหญ่ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่มีหน้าที่จะไปแก้ไขอะไรทั้งหมด เมื่อมันไม่อยู่ไม่ดูเราก็รู้สึกว่า อ้อ หลุดไปแล้ว กลับมาดูใหม่อีก เหมือนกับคนหัดถีบรถจักรยาน พอล้มแล้วท่านจะทำอย่างไร โกรธว่ามันล้มหรือมันไม่ควรจะล้มอย่างนั้นหรือๆ มันไม่ถูกใช่ไหม โกรธแล้วมันจะไม่ล้มอย่างนั้นหรือ ? เปล่า ! มันก็ล้ม แล้วล้มบ่อยด้วยใช่ไหม แล้วล้มบ่อยจะทำอย่างไรล่ะ จึงจะไม่ให้ล้ม มีวิธีไหนที่จะไม่ให้ล้ม ไม่มีต้องขึ้นอีกอย่างเดียวเท่านั้น ล้มแล้วขึ้นอีก ล้มแล้วขึ้นอีกจนกระทั่งชำนาญแล้ว

ทีนี้เข้าใจดีแล้ว ถูกอบรมดีแล้ว เข้าใจแล้ว ทีนี้ไปชั่วโมงสองชั่วโมงก็ไม่ล้ม อันนี้ก็อย่างเดียวกัน สิ่งที่ควรจะเข้าใจก็คือ พอมันไปแล้ว ถ้าเราไม่รู้มันจะไปนานเหลือเกิน ไปถึงตรงนั้น ไปโน่นต่อไปอีก ไปถึงบ้านต่อจากบ้านออกไปบ้านอื่นไปไหนๆ บางทีตั้งครึ่งชั่วโมง ถ้าเราสติไว พอมันไปเราก็รู้ พอรู้แล้วเราก็กลับมา เท่านั้นเอง ไม่มีหน้าที่อย่างอื่นเลย ไม่มีหน้าที่จะไปแก้ไข จะให้มันหยุด จะให้มันไปไม่ได้เลย นอกจากว่า ล้มแล้ว เราก็มากำหนดใหม่ ล้มแล้วก็มากำหนดใหม่ จนกว่าจะชำนาญรู้ท่าทาง อ้อ ถ้าอย่างนี้มันไม่ล้ม ถ้าอย่างนี้มันจะล้มอะไรอย่างนี้ แล้วทีนี้ก็จะสะดวก ขั้นแรกก็มีเพียงเท่านี้

ต้องรู้เหตุที่จะเปลี่ยนอิริยาบถ
ถ้าเกิดปวดเมื่อยขึ้นมา เช่นอย่างเวลานั่ง พอมันปวดมันเมื่อยรู้สึกขึ้นมา เราก็ต้องเปลี่ยน อย่าไปทน ทนก็ใช้ไม่ได้ แล้วจะเปลี่ยนโดยยังไม่ทันรู้เหตุผลที่จะสมควรเปลี่ยน ไม่มีเหตุผลที่จะมาเสนอปัญญา ทำไปโดยยังไม่ได้เหตุก็ไม่ได้คือ เวลาจะเปลี่ยนอิริยาบถ เราจะต้องรู้เสียก่อน ต้องรู้เหตุที่จะทำให้เปลี่ยนอิริยาบถเสียก่อน ไม่ใช่เปลี่ยนไปด้วยอำนาจกิเลส 

ถ้าเราต้องการ ความอยากก็เกิดขึ้น เราจะละกิเลสไม่ได้ เพราะเราทำไปด้วยความต้องการกิเลสก็เข้าอาศัยได้ มันก็ละกิเลสไม่ได้ อิริยาบถนี่สำคัญ พอนั่งแล้วรู้สึกว่ามันปวดมันเมื่อย เราก็เปลี่ยนเสีย แต่ว่าให้รู้เสียก่อนว่า เปลี่ยนเพราะเหตุอะไร คือ เราไม่ได้เปลี่ยนเพราะกิเลส เราเปลี่ยนเพราะอำนาจความปวด ความเมื่อย พระอรหันต์ท่านยังต้องเปลี่ยน ท่านก็ยังต้องมีอิริยาบถที่ต้องเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนไม่ได้มันก็ต้องตายละคนเรา ทีนี้เราก็เปลี่ยนอิริยาบถ แต่ให้รู้ว่า เปลี่ยนเพราะว่ามันเป็นทุกข์ ทุกข์มันเกิดขึ้นแล้วเราจะต้อง เปลี่ยนเพื่อแก้ทุกข์ ต้องให้ทำความรู้สึกอย่างนี้ เพื่อแก้ทุกข์หรือถูกทุกข์บังคับให้เปลี่ยน ถ้าเราเปลี่ยนแล้ว เราทำความรู้สึกว่าเปลี่ยนไปเพื่อจะสบาย อิริยาบทใหม่นี่มันจะสบาย เรานั่งเมื่อยเราก็ต้องอยากนอน ที่เราอยากนอนเพราะเรารู้สึกว่า รูปนอนมันสบาย สบายเป็นสุขวิปลาสเข้าแล้ว

ความสุขนี่ในพุทธศาสนาถือว่า วิปลาส คือผิดพลาดจากความเป็นจริง ฉะนั้น ทุกขวิปลาส จึงไม่มีในพระพุทธศาสนา มีแต่ สุขวิปลาส เพราะทุกข์นี้เป็นของจริง เป็นตัวอริยสัจ ทุกคนก็ทราบแล้วว่าทุกข์เป็นตัวอริยสัจ เป็นของจริงเป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ใดเข้าไปเห็นทุกข์ ชื่อว่า ผู้นั้นเข้าไปเห็นของจริง การเข้าไปเห็นของจริง เป็น สัจจะ เขาไม่เรียกว่า วิปลาส ส่วนความสุขไม่มีจริง จึงไม่มี คำว่า สุขสัจ เพราะสุขไม่ใช่ของจริง ความจริงมันมีแต่ทุกข์เท่านั้นแหละในโลกนี้ แต่ว่า เราไม่ได้ดู ที่ไม่ได้ดูเพราะว่า กิเลสตัณหามันย้อมใจอยู่ มันก็มุ่งไปหาความสุข หาความสบายอยู่เรื่อย ตัณหานี่ไม่ชอบทุกข์ ชอบแต่ความสุข เห็นอะไรที่มันสบาย เห็นรูปแล้วสบายใจ ฟังเสียีงแล้วสบายใจ นี่แหละตัณหามันชอบอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้น เวลาที่เราจะเปลี่ยนอิริยาบถนี่ เพื่อจะกันตัณหาที่เข้าอาศัยอิริยาบทใหม่ เราจึงต้องมนสิการให้ถูกต้องว่า ความจริงเราต้องเปลี่ยนใช่ไหม หรือว่าเราอยากเปลี่ยน ความจริงเราต้องเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนมันไม่ได้ ไม่เปลี่ยนได้ไหม ถ้าเราไม่อยากเปลี่ยนไม่ได้ ! นี่รับรองแล้วการที่ตัวเข้าใจว่า ตัวอยากเปลี่ยนนั้นน่ะ ที่จริงมันผิดแล้ว ความทุกข์มันเกิดขึ้นเราต้องแก้ เพื่อแก้ทุกข์ถูกไหม นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้ แต่ว่า เมื่อเราไม่ได้พิจารณา แม้แต่เพียงแค่นี้ก็ไม่เข้าถึงความจริง

วิปลาสมันคอยอยากเปลี่ยน แท้ที่จริงไม่ได้มีความอยากเปลี่ยนอะไรหรอก ถ้าอยากเปลี่ยนกิเลสตัณหาก็เข้าอาศัยอิริยาบถใหม่ทันที ทำลายวิปลาสไม่ได้ เราทำความรู้สึกไม่ถูก เราโยนิโสไม่ถูก ก็ทำลายไม่ได้เลย

อย่าคิดว่า นั่งกรรมฐาน เดินกรรมฐาน
เพราะเหตุนี้ จึงห้ามไม่ให้รู้สึกว่า นั่งกรรมฐาน อย่าไปรู้สึกว่า เราจะต้องนั่งท่านี้ถึงจะแก้ทุกข์ได้ อันนี้ห้าม ห้ามไม่ให้รู้สึกว่า นั่งกรรมฐาน เวลาจะลุกขึ้นเดิน ไม่ให้รู้สึกว่า เดินกรรมฐาน อันนี้เป็นความสำคัญอันหนึ่ง ซึ่งเป็นของน่าแปลก ใครๆ เขามาทำกรรมฐานแล้ว ไม่ให้นั่งกรรมฐาน ไม่ให้ทำกรรมฐาน สำหรับวิปัสสนานี่ ห้ามรู้สึกว่านั่งกรรมฐาน อันนี้เรานั่ง เพื่อจะเอากรรมฐาน นั่งเพื่อจะได้กรรมฐาน จะได้เห็นธรรมอะไรมันจะโผล่ขึ้นมา มันกลายเป็นอย่างนี้ไป ไม่ใช่นั่งกรรมฐาน แต่นั่งเพื่อแก้ทุกข์ นอนเพื่อแก้ทุกข์ เดินเพื่อแก้ทุกข์

ถ้ายังไม่ทุกข์ไม่ต้องเปลี่ยน ถ้าทุกข์จะเปลี่ยนเมื่อไรก็ได้ ๕ นาที ๑๐ นาที ตามใจ แต่ให้มีเหตุผลที่จะพิจารณาได้ ทีนี้ถ้าเราไปนั่งกรรมฐานเดินกรรมฐาน ก็กลายเป็นว่า เราอยากนั่ง อยากเดิน เพื่ออยากจะเห็นธรรม เขาว่าเดินมากๆ แล้วจะเห็นรูปเดินก็เลยเดิน เพราะอยากเห็นรูปเดิน กิเลสก็ปิดบังอิริยาบถเดิน ไม่รู้ว่าใครเดิน ในที่สุด ก็จะคิดเหมาเอาว่าเราเดินก็ไม่ได้ความจริง เพราะฉะนั้น ต้องทำไปตามความจริง 

ที่จริงน่ะ ขอให้ไปพิจารณาดูเถอะ ถ้าทำจริงๆ แล้ว ๗ วันนี่ ท่านจะพบสิ่งที่ท่านไม่เคยพบเลยในชีวิต "ธรรม" ต้องพบแน่ แต่ขอให้ได้อารมณ์ปัจจุบันมากๆ ที่ว่ามากๆ ก็หมายถึงว่า มันไม่ฟุ้งไปอื่น แต่มันต้องฟุ้งห้ามไม่ได้ ฟุ้งก็ฟุ้งไป แล้วเราก็รู้ว่า มันฟุ้ง ก็กลับมาดูใหม่เท่านั้นแหละ ขอให้ทำใจเพียงแค่นี้ อย่าไปทำความไม่พอใจ ก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้น ขอให้ดูแต่ว่า เราจะต้องแก้ทุกข์นะ เราแก้ทุกข์ เรารู้ตัวเราไหมว่า ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมานี่ เราแก้ทุกข์อะไรบ้าง ทุกข์อะไรก็ตาม ถ้าแก้ไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้ต้องตาย ที่เราอยู่มาได้ทุกวันนี้เพราะเราแก้ได้เอง การที่เราแก้เองได้เลยกลายเป็นคนดี ถ้าคราวไหนเราแก้เองไม่ได้ต้องเอาหมอมาช่วยแก้ นั่นแหละถึงจะรู้ว่า เจ็บ นี่มันเมื่อย เราก็เปลี่ยนอิริยาบถได้ เราก็นอนได้ เราก็เดินได้ เขาก็ว่าเราเป็นคนดีอย่างนี้ ถ้าเผื่ออยากจะนอนก็นอนไม่ลง นอนไม่ได้แล้ว ไปเอาหมอมาช่วย ตอนนี้ก็ว่าเจ็บแล้ว แต่ที่จริงเจ็บอยู่เรื่อย ต้องแก้ทุกข์อยู่ตลอดเวลา

ขอให้ไปดูเถอะ ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งหลับไป หลับก็แก้ทุกข์ ถ้าไม่หลับได้ไหม ไม่ได้ มันไม่สบาย เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยไป เราก็ต้องทำอยู่เรื่อยไป แก้ทุกข์ทั้งนั้น แต่เราไม่รู้ เวลานอนต้องแก้ทุกข์กี่ครั้ง เปลี่ยนอิริยาบถพลิกไปพลิกมากี่หน พอลงนอนท่าไหนก็ตามแล้วก็หลับเลย ไม่มีมันต้องแก้ทุกข์ท่านั้นท่านี้ ยิ่งคนแก่ๆ ด้วยละก็มีมาก ถ้าเด็กๆ อาจมีน้อย เพราะไม่ค่อยจะเมื่อยจะขบ แต่คนแก่นี่กว่าจะหลับได้ ก็ต้องหลายทอด ครั้นพอลืมตาขึ้นก็แก้เรื่อยมา ต้องล้างหน้า ต้องสีฟัน ถ้าไม่ทำมันไม่สบาย ถ่ายอุจจาระ ถ้าไม่ถ่ายก็ตาย ไม่ถ่ายปัสสาวะได้ไหม ตาย ไม่กินข้าวได้ไหม ตาย ไม่นอนหลับได้ไหม ตาย

ท่านบอกว่าทุกข์นี้มันข่มขี่ มันบีบคั้น มันทำให้เร่าร้อน มันต้องปรุงแต่งเนืองๆ นี่ลักษณะของทุกข์มันเป็นอย่างนี้ ขอให้ไปดูเถอะ กินข้าวนี่เข้าใจว่า อยากกินเท่านั้นหรือ ? ไม่อยากกินก็ต้องกิน คนเจ็บนี่ไม่อยากจะกินเลย ยิ่งไปโรงพยาบาลแล้ว เขาเอาสายยางใส่เข้าไป เพราะคนเจ็บไม่ยอมกิน กินไม่ได้แล้ว หายใจนี่ท่านก็แก้ทุกข์อยู่ทุกลมหายใจ รู้หรือเปล่าหายใจเข้าไปได้ก็ยังอยู่ ถ้าหายใจไม่เข้าก็เจ็บแล้ว หายใจออกได้ก็ยังอยู่ ชีวิตของคนเรานี่ ตั้งอยู่เพียงหายใจเข้า หายใจออกเท่านั้น ท่านถึงบอกว่า นักปราชญ์ ย่อมเห็นชีวิตไม่เป็นสาระ ชีวิตเป็นไปเพื่อความทุกข์ ท่านถึงได้ไม่เสียดมเสียหายอะไร ไม่ใช่ว่า จะต้องคอยบำรุงบำเรอชีวิตเอาไว้ แต่ว่า ทำบาปสร้างอกุศล ขึ้นมาเพื่อความเป็นอยู่ของชีวิต นักปราชญ์ไม่ทำอย่างนั้นเลย 

ขอให้ท่านพิจารณาเถิด ก็จะประสบความจริง จะเข้าถึงอริยสัจได้ อะไรเป็นอริยสัจ ทุกข์ เป็นอริยสัจ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรอีก แม้คนจะเอาขนจามรีที่ละเอียดที่สุด มาผ่าให้ได้ ๗ ส่วน การเห็นทุกข์นั้นยากยิ่งกว่า

ขอให้ไปดู ดูจริงๆ ๗ วันเท่านั้นแหละ ท่านจะต้องพบในสิ่งที่เราไม่เคยพบเลย ความรู้สึกอันนั้นไม่ใช่ว่า ได้มาจากการคิดเอานึกเอา ได้มาจากความจริงทีเดียว สภาวะเขาเป็นอยู่อย่างนั้น หากแต่ว่า เราไม่ได้ดูเท่านั้นเอง

ถ้าเราดูอยู่แล้ว ๗ วันเท่านั้นแหละ ไม่ต้องทำอะไรมาก ไม่ต้องทำอะไรอื่น ดูเฉพาะเท่านี้แหละ ดูรูปนามตามอิริยาบท แล้วเวลาจะเปลี่ยนอิริยาบถก็ขอให้รู้ว่า อิริยาบถเก่ามันเกิดทุกข์แล้ว อย่าไปเปลี่ยนโดยยังไม่ทันมีเหตุผล ยังไม่ทันรู้เหตุผลจากความจริงเสียก่อน กิเลส คือ อวิชชา จะเข้าปิดบังเลยไม่เห็นความจริง

ทีนี้คนที่ดูแล้วไม่ค่อยจะได้ผลน่ะ เพราะอะไร ? เพราะเห็นว่า เหตุผลเหล่านี้ไม่สำคัญ

วิปัสสนาต้องรู้กฎธรรมดาตามความจริง ส่วนกิเลสนั้นก็ไม่ใช่ว่าเราไปสร้างกิเลสขึ้นมา หรือเราไปสร้างอารมณ์ให้กิเลสมัน กิเลสมันก็อยู่กับรูปนามตามอิริยาบถเหล่านี้นั่นแหละ ไม่ต้องไปสร้างมาให้มัน เช่น เวลาเดิน ไม่ต้องบริกรรมว่า ยกหนอ-ย่างหนอ ไม่ต้องทำอย่างนี้นะ เพราะไม่รู้ว่าอะไรยก อะไรย่าง ไม่มีนามมีรูปเป็นตัวอารมณ์ที่ใช้กำหนด นามรูปปริจเฉทญาณ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ วิปัสสนา ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อเราก้าวไปเรารู้ตั้งแต่ก้าวไป ไปจนถึงเหยียบลงมานี่ รู้รูปเดิน อันเดียวเท่านั้นพอแล้ว ยกขึ้นมาแล้วก็ก้าวไปเท่านั้นพอแล้ว เรามีสติรู้ครั้งเดียวพอ ตั้งแต่ยกถึงก้าวไม่ต้องรู้ยกแล้วก็ทำให้ผิดปกติไป อันนั้นตัณหามันก็เข้าแล้ว มันอยากจะได้มากๆ อะไรอย่างนี้ เราจะทำให้มันผิดปกติไม่ได้ เพราะเราจะละกิเลส กิเลสมันไม่ได้ปิดตอนที่ทำอย่างนั้น กิเลสมันปิดตอนที่ทำช้าๆ ค่อยๆ น้อยๆ อย่างนั้นหรือ จึงจะได้ไปละกิเลสตรงนั้น ที่จริงแล้ว กิเลสมันมีอยู่ ตามอาการปกติธรรมดา นี่เอง 

เพราะฉะนั้น เวลาเดินก็ไม่ต้อง คอยย่องย่าง แล้วก็อย่าให้เร็วเกินไปเหมือนกับเดินไปธุระ ต้องเดินเหมือนอย่างกับเดินแก้เมื่อย เดินแก้เมื่อยกับเดินไปธุระมันผิดกัน เดินแก้เมื่อยเราก็เดินไปตามธรรมดา เราไม่มีธุระอะไรรีบร้อน เดินตามธรรมดา หรือช้ากว่าธรรมดาหน่อยหนึ่งก็ได้ 

ความจริงนี่มันก็ไม่ยาก แต่มันยากตรงที่เรา ไม่เข้าใจ เท่านั้นเอง ของอย่างนี้มันก็มีให้ดูตลอด ๒๔ ชั่วโมง จนกระทั่งเราดูไม่ไหว แต่ทีนี้เรานี่น่ะคิดว่าไม่เห็นจะเป็นธัมมะ ธัมโมอะไรเลย ดูอิริยาบถนี่ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์ หรือเป็นธัมมะธัมโมอะไรเลย ถ้าเราจะบริกรรมภาวนาว่า พุทโธ-พุทโธ ก็ยังจะดีเสียกว่า เพราะเป็นการเรียกชื่อของพระพุทธเจ้า นี่ก็ของธรรมดา ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรที่คิดว่า จะต้องมีอะไรที่เป็นพิเศษขึ้นมา เป็นเครื่องล่อ เป็นเครื่องติดอะไรอย่างนั้น ก็นี่เราจะทำเพื่อละความคิดเห็นผิดๆ คือ กิเลส กิเลสอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ โน่นไปดูอยู่ตรงคนอื่นโน่น ไปเพ่งโทษของคนอื่น และคิดจะไปละกิเลสของคนอื่น กิเลสของตนมองไม่เห็น จึงคิดว่า กิเลส ที่ตัวนี่ไม่มี 

ฉะนั้น ในการปฏิบัติวิปัสสนา เพื่อจะละกิเลสนี่ต้องดูนามรูปที่ตัวเราเอง ไปดูนอกตัวเราไม่ได้

ทีนี้ดูที่ตัวเรานี่ ดูที่ไหน ? เราก็จะต้องเข้าใจในมหาสติปัฏฐาน บอกไว้แล้วว่า ดูที่ กาย, เวทนา, จิต และ ธรรม คือ ให้ทำความรู้สึกตัวดูนามรูปที่กำลังปรากฏอยู่ตามทวารทั้ง ๖ ที่ตัวเรานี่แหละ ซึ่งดิฉันสันนิษฐานไว้ก่อนว่า พวกเรานี่น่ะ ส่วนมากแล้วเป็นพวกกิเลสหนา ปัญญาน้อย คือ เป็นพวก มัณฑบุคคล ที่มี ตัณหาจริต เพราะอะไร ? เพราะว่า ทุกวันนี้รอบๆ ตัวนี่น่ะ เต็มไปด้วยอารมณ์ของกิเลสมากมายก่ายกองจนไม่มีเงินจะซื้อ อยากดูหนัง ดูละคร ก็หาไปแสดงที่บ้านเรา บางทีบ้านเดียวมีตั้งหลายโรง โทรทัศน์ไงล่ะคะ ทั้งสีดำ สีขาวหรือสีต่างๆ ล้วนเป็นอารมณ์ให้แก่กิเลสได้เป็นอย่างดี จึงว่า พวกเราส่วนมากนี้กิเลสหนา 

ส่วนปัญญาน้อย นี่ก็เห็นได้ง่ายค่ะ เราจะหาคนที่เข้าใจในเหตุผล ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่หาได้ยากเหลือเกิน เห็นบ้างไหมคะว่า ที่ไหนเขามี สะเดาะเคราะห์ กัน บางทีก็เรียกว่า "เสริมมงคลชีวิต" หรือ "ตัดกรรม" หรือเขาบอกว่า จะทำพิธีรื้อสัตว์ ขนสัตว์ พาไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน แหม ! ผู้คนแห่กันไปล้นหลามแน่นขนัดทีเดียว เขาไปด้วยความมีเหตุผลหรือเปล่า

ส่วนคนที่ไปหาเหตุผล พิสูจน์สัจธรรม คำสอน ของพระพุทธเจ้า ด้วยการเจริญสติปัฎฐานมีสักกี่คน ขอฝากให้พิจารณาดูก็แล้วกันว่า คนสมัยนี้มีปัญญามากหรือ ปัญญาน้อย 

ด้วยเหตุนี้ จึงได้เสนอให้พิจารณาอิริยาบถเพราะเป็นอารมณ์ที่ปรากฏชัด และมีอยู่เป็นประจำนะคะ เอาละค่ะ ที่พูดมานี้มีใครสงสัยอะไรก็ถามได้ค่ะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น